Longevity Hub Thailand  เวลเนสยั่งยืนเพื่ออนาคตของชาติ

Longevity Hub Thailand  เวลเนสยั่งยืนเพื่ออนาคตของชาติ

การขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก ภายใต้แนวคิด Longevity Hub Thailand

KEY

POINTS

  • การมีสุขภาพดีและอายุยืนยาว“ลองจิวิตี้” (Longevity) ในความหมายของคนยุคปัจจุบัน คือ “ไม่แก่ไม่ป่วย” 
  • พัฒนาประเทศไทยให้เป็น Longevity Hub ในระยะยาว จะเป็นการวางตำแหน่งให้ประเทศเป็นจุดหมายปลายทางเศรษฐีทั่วโลก
  • Genesenn (เกเนเซน) เชื่อว่า โครงการดังกล่างจะช่วยลดภาระด้านสาธารณสุขโดยทำให้คนไทย “ไม่ป่วย” 

การขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก ภายใต้แนวคิด Longevity Hub Thailand เวลเนสยั่งยืนเพื่ออนาคตของชาติ ดูแลแบบองค์รวม เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยได้ และสามารถพัฒนาศักยภาพและความพร้อมก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลาง Wellness ระดับโลกทั้งในด้านทรัพยากรธรรมชาติ บริการด้านสุขภาพและประสบการณ์ที่เชื่อมโยงสุขภาวะกับวัฒนธรรมไทยอย่างลงตัว

เพราะปัจจุบันเทรนด์รักสุขภาพของคนยุคนี้ให้ความสำคัญในการความใส่ใจดูแลตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ เน้นป้องกันก่อนเป็นโรค (Preventive & Regenerative Medicine)ผ่านการดูแลเสริมสร้างสุขภาพโดยรวมในร่างกาย ให้มีสุขภาพดีและอายุยืนยาว โดยไม่เจ็บป่วยและมีความสุขในการใช้ชีวิตไปจนถึงบั้นปลายของชีวิต 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

'Longevity' สุขภาพยั่งยืนมีคุณภาพ ความมั่นคงแบบใหม่ของทุกวัย

'เจาะตลาด Longevity' ตรงจุด โอกาสทางธุรกิจที่กำลังมาแรง

นิยาม Longevity “ไม่แก่ ไม่ป่วย”

ศิริญา เทพเจริญ ผู้บริหาร Genesenn (เกเนเซน) และ Givora (กิฟเวอร่า) ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ”ว่ายุคนี้คนต้องการความงามที่ปลอดภัย ลดความเจ็บปวดและระยะพักฟื้น คาดว่าในอนาคตจะนำนวัตกรรมด้านสุขภาพเน้นทั้ง การป้องกัน (Prevention Health) และ การฟื้นฟูสุขภาพ (Recovery Health) ที่สมัยใหม่ในทุกๆด้านเข้าสู่ประเทศไทยเพื่อผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลาง Longevity Hub Thailand

ซึ่ง AgeJET (Advanced Plasma Skin Therapy) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกเพราะเป็นเทคโนโลยีการฟื้นฟูผิวแบบ Non-Invasive ที่ทำงานด้วยพลังงานพลาสมาจากไนโตรเจนที่ได้รับการพัฒนาเพื่อความปลอดภัย สามารถใช้ได้กับทุกโทนสีผิวทำหัตถการรอบดวงตาได้โดยไม่ต้องใส่อุปกรณ์ป้องกันแสง

เพราะฉะนั้นการมีสุขภาพดีและอายุยืนยาว“ลองจิวิตี้” (Longevity) ในความหมายของคนยุคนี้ก็คือ “ไม่แก่ไม่ป่วย” 

จึงเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของประเทศไทยในการผลักดันเวลเนส ในการแข่งขันกับนานาประเทศ รวมถึงการตอบรับเทรนด์โลกที่ผู้คนยุคใหม่ให้ความสำคัญกับการมีสุขภาพที่ดีและสวยแบบสุขภาพดี (สวย สุขภาพดี) โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการศัลยกรรมมากเกินไป เป็นสร้างแบรนด์ที่ชัดเจนให้กับประเทศไทย ที่นักท่องเที่ยวจะสามารถใช้บริการได้ทั่วประเทศ

Longevity Hub Thailand  เวลเนสยั่งยืนเพื่ออนาคตของชาติ

นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพเชิงป้องกัน

 

ปัจจุบันธุรกิจคลินิกและโรงแรมในประเทศไทยมีจำนวนมาก หากผู้ประกอบการคลินิกและผู้ประกอบการด้านสุขภาพทั้งหมด สามารถร่วมมือกันผลักดันโครงการ Longevity Hub Thailand  เพื่อสร้างอีโคซิสเตมที่ยั่งยืนร่วมกันก็จะสามารถพัฒนาเป็น 

เวลเนสเดสท์เนชั่นของโลกได้ วิธีการ สร้างต้นแบบคือเริ่มจากการนำคอนโดมิเนียมมาปรับเป็นสหคลินิกและผนวกเชนระดับโลกเข้าไปเพื่อทำเป็นเวลเนสเดสท์เนชั่น หมอเจ้าของคลินิกที่อยากเปิดเวลเนสมาเข้าร่วม โดยไม่ต้องลงทุนใหม่ แต่เข้ามาถือร่วมกัน ร่วมเป็นเครือข่ายโครงการครอบคลุม 77 จังหวัด

ศิริญา อธิบายว่า โครงการ Longevity Hub Thailand ให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และนวัตกรรมที่ช่วยฟื้นฟูความเสื่อมของร่างกาย AI ตรวจวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านสุขภาพในทุกจังหวัด โดยเฉพาะการตรวจ หลอดเลือดสมอง อัลไซเมอร์ และสมองเสื่อมใช้ AI-Dog ที่ใช้ภาพถ่ายจอประสาทตา (เรติน่า) ในการวิเคราะห์และพยากรณ์ความเสี่ยงเกี่ยวกับหลอดเลือดสมองและโรคสำคัญด้านสมองได้ล่วงหน้าประมาณ 10 ปี ก็เพราะว่าความเสื่อมของคนส่วนใหญ่มักมาจากปัญหาหลอดเลือด 

ทั้งนี้ การพัฒนาประเทศไทยให้เป็น Longevity Hub ในระยะยาว โดยมีแนวคิดหลักคือ“ไม่แก่ไม่ป่วย” จะเป็นการวางตำแหน่ง (Branding) ให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่เศรษฐีทั่วโลกอยากจะมาใช้ชีวิตเพื่อให้อายุยืนและมีความสุข โครงการนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์การแข่งขันระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเวลเนส (Wellness)

“เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการผลักดันประเทศไทยให้เป็นเวลเนสเดสท์เนชั่นของโลกมุ่งเน้นไปที่การดึงดูดกลุ่มเศรษฐีทั่วโลกที่ต้องการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพและอายุยืนเลือกมาใช้ชีวิตที่ประเทศไทยเป็นสร้างแบรนด์ที่ชัดเจนให้กับประเทศไทย ที่นักท่องเที่ยวจะสามารถใช้บริการได้ทั่วประเทศ คาดว่ามีคลินิกเข้าร่วมลงทะเบียนในเครือข่ายประมาณ 400 แห่ง”

ทั้งนี้ ผู้บริหาร Genesenn (เกเนเซน) เชื่อว่า โครงการนี้จะช่วยลดภาระด้านสาธารณสุขโดยทำให้คนไทย“ไม่ป่วย”ซึ่งจะช่วยลดงบประมาณสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช)ไปได้อีกทางหนึ่ง โดยดึงอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่มีอยู่ถึงล้านคน เพื่อให้เข้ามาช่วยดูแลคนในชุมชนแบบเชิงป้องกันเป็นอีโคซิสเต็มที่ครบวงจร เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสตั้งแต่วัฒนธรรม อาหาร และการเกษตรสมุนไพร ควบคู่ไปกับการตรวจสุขภาพ

"ตั้งใจว่าอยากจะผลักดันโครงการนี้ให้เป็นกลยุทธ์ใหม่ของประเทศ และเชื่อมโยงไปถึงระดับชุมชน ดึงดูดนักท่องเที่ยว เป็น อีโคซิสเต็ม ที่ครบวงจร เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสตั้งแต่วัฒนธรรม อาหาร และการเกษตรสมุนไพร ควบคู่ไปกับการตรวจสุขภาพเป็นการวางตำแหน่ง (Branding) ให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่เศรษฐีทั่วโลกอยากจะมาใช้ชีวิตเพื่อให้อายุยืนและมีความสุข โครงการนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์การแข่งขันระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเวลเนส (Wellness)"

การมุ่งเน้นที่การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ยั่งยืน (Sustainable Medical Tourism) ซึ่งจะเป็น “ม้าตัวใหม่” ที่จะสามารถเข้าถึงชุมชนได้ และเป็นการสร้างตลาดขนาดใหญ่ เนื่องจากคนรุ่นใหม่และคนทั่วโลกจำนวนมากถึง 60% เห็นความสำคัญของการมีสุขภาพดีและอายุยืน จะเป็น “ทางรอดของทุกคน” ทั้งผู้ประกอบการและประเทศชาติ โดยตั้งใจที่จะสร้างคาแรคเตอร์ของประเทศ ให้เป็นที่ที่นักท่องเที่ยวมาแล้วจะไม่เบื่อ และต้องกลับมาอีกครั้งในจังหวัดใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง