เปิดกลยุทธ์ลงทุนกลุ่ม "RAM" สู่บริษัทย่อย เพิ่มอำนาจบริหารปักธง 'Medical for All'

เปิดกลยุทธ์ลงทุนกลุ่ม "RAM" สู่บริษัทย่อย เพิ่มอำนาจบริหารปักธง 'Medical for All'

ปี2531 'กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง'ก่อตั้งขึ้นโดยกลุ่มแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการบริหารโรงพยาบาลมากกว่า 35 ปี

KEY

POINTS

  • ปีนี้ถือเป็น “ปีที่ยาก” ด้วยสภาพเศรษฐกิจแต่ก็เป็น “ปีที่ดี” จากความสำเร็จในการลงทุนในเครือธนบุรี คาดว่าจะทำให้การเติบโตโดยรวมเพิ่มขึ้น 30-40% ในปีนี้ และจะเติบโตยิ่งขึ้นในปีหน้า
  • การให้บริการของ เครือรามคำแหง จะให้ความสำคัญกับการดูแล “คนไทย” ทุกระดับชั้น และมี “ศูนย์ความเป็นเลิศ” สำหรับโรคเฉพาะทางที่ซับซ้อนและโรคยาก
  • อนาคตจะเน้นการปรับโครงสร้างการถือหุ้น จากบริษัทร่วมที่มีสัดส่วนกระจัดกระจาย ที่ถือหุ้นตั้งแต่ 5-50% ให้กลายเป็นบริษัทย่อยที่มีสัดส่วนเกิน 50%

ปี2531 กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงก่อตั้งขึ้นโดยกลุ่มแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการบริหารโรงพยาบาลมากกว่า 35 ปี ปัจจุบันเป็นหนึ่งในกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยติดอันดับ 2 ด้านจำนวนเตียง มีโรงพยาบาลหลัก 5 แห่งในกรุงเทพฯ และ 13 แห่งในภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศไทย ดำเนินการผ่านเครือข่ายโรงพยาบาลร่วมทุนอีก 28 แห่ง มีบริการเฉพาะทางมากกว่า 30 สาขา พร้อมศูนย์ความเป็นเลิศ (COE) 7 แห่ง สามารถให้บริการแก่ผู้ป่วยหลากหลายกลุ่ม รวมถึงผู้ป่วยที่ชำระเงินเอง (FFS), ประกันสังคม (SSS) และหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (UCS)

หลังจากการรวมกิจการกับ THG กลุ่ม RAM จะมีจำนวนเตียงรวมทั้งเครือข่ายประมาณ 7,800 เตียง ใน 46 โรงพยาบาล และเป็นโรงพยาบาลที่รวมอยู่ในงบการเงินของ RAM จำนวน 18 แห่ง และมี 3,200 เตียง RAM มีการลงทุนในโรงพยาบาลหลายแห่ง เช่น รามคำแหง (หลัก) 100% (486 เตียง), รามคำแหง 2 (ราม นครา) 59.73% (560 เตียง), และกลุ่มโรงพยาบาลสินแพทย์ 28.40%

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

ไทยอันดับ2 เทคโนโลยีการแพทย์ ใช้ AI เชื่อมต่อเข้าถึงการดูแลสุขภาพ

Gen Y ป่วยโรคซับซ้อน เสียชีวิตกะทันหันมากขึ้น  สาเหตุที่พบบ่อย

องค์กรทันสมัย ดูแลผู้ป่วยไทยทุกระดับ

ประมาณ ปี 2009 "ดร.ฤกขจี กาญจนพิทักษ์” ได้เข้ามาดูแลการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และหุ้นของบริษัทต่างๆ มีส่วนช่วยในการพลิกฟื้นสนามกอล์ฟที่โรงพยาบาลเคยลงทุน กระทั่งวันนี้ได้นั่งตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทโรงพยาบาลรามคำแหงและบริษัทในเครือ  โดยมี “นพ.เอื้อชาติ กาญจนพิทักษ์” เป็นต้นแบบการทำงานทั้งแนวคิดทางธุรกิจและการใช้ชีวิต และพันธมิตรจากสิงคโปร์ (กองทุนไพรเวทอิควิตี้) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับสอง ที่สนับสนุนและผลักดันให้เข้ามาบริหารงานเต็มตัว

ขับเคลื่อนกลยุทธ์การลงทุน ผ่านการสร้างเครือข่ายโรงพยาบาลทั่วประเทศ การดูแลผู้ป่วยไทยทุกระดับ และการมุ่งพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ รวมถึงการปรับปรุงระบบการบริหารจัดการองค์กรให้ทันสมัย เปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ยุคใหม่ เน้นการสื่อสารและความสัมพันธ์ที่ดีกับสื่อและนักลงทุน พัฒนาระบบการทำงานให้มีโครงสร้าง ใช้ระบบ IT และแชร์ข้อมูลระหว่างผู้บริหารมากขึ้น เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพและผู้บริหารเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น

เปิดกลยุทธ์ลงทุนกลุ่ม "RAM" สู่บริษัทย่อย เพิ่มอำนาจบริหารปักธง 'Medical for All'

กลยุทธ์การขยายเครือข่ายและการลงทุน     

“ดร.ฤกขจี” ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ”ว่า โรงพยาบาลรามคำแหงถูกก่อตั้งมาด้วยเจตนารมณ์ที่จะดูแลผู้ป่วยชาวไทย ให้สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่ดีได้ง่ายขึ้นให้บริการผู้ป่วยทุกกลุ่ม ทั้ง 30 บาท ประกันสังคม และผู้ชำระเงินเอง โดยรักษาคุณภาพเทียบเท่าโรงพยาบาลชั้นนำแต่ราคาไม่แพง เพื่อให้ยังคงเป็นโรงพยาบาลที่ดูแลกลุ่มคนส่วนใหญ่ยังคงยึดมั่นในวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้งที่ต้องการดูแลประชาชนเป็นสำคัญ โดยมีการผสมผสานมุมมองทางธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

ปัจจุบันมีเครือข่ายโรงพยาบาลรวม 46 แห่งทั่วประเทศ มีจำนวนเตียงรวม 7,800 เตียง ขึ้นเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย (รองจากเครือ BDMS) เน้นการร่วมมือและแบ่งปันความรู้ภายในเครือข่ายเพื่อประโยชน์และการเติบโตที่มั่นคงร่วมกัน การลงทุนมีสัดส่วนหลากหลาย ตั้งแต่ไม่ถึง 10% ไปจนถึงเกิน 50% ตัวอย่างโรงพยาบาลในเครือ “วิภาราม” ซึ่งมีทั้งบริการคนไข้เงินสด ประกัน และประกันสังคม และโรงพยาบาลเชียงใหม่ราม ถือหุ้นใหญ่สุดประมาณ 40% 

เปิดกลยุทธ์ลงทุนกลุ่ม "RAM" สู่บริษัทย่อย เพิ่มอำนาจบริหารปักธง 'Medical for All'

ล่าสุดประสบความสำเร็จในการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในเครือโรงพยาบาลธนบุรี เป็น 49.x% ซึ่งถือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด ทำให้ตอนนี้เครือข่ายครอบคลุมทุกภูมิภาคมากขึ้น

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทโรงพยาบาลรามคำแหง กล่าวว่าจะเน้นการลงทุนแบบ “บราวน์ฟิลด์” เข้าไปถือหุ้นในโรงพยาบาลที่มีอยู่แล้ว มากกว่า “กรีนฟิลด์” สร้างใหม่ เนื่องจากธุรกิจโรงพยาบาลมีการแข่งขันสูงและอยู่ยากเมื่ออยู่คนเดียว ส่วนการขยายจำนวนโรงพยาบาล ขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาสที่เหมาะสม โดยการก่อสร้างโรงพยาบาลใหม่ จะเน้นในพื้นที่ที่มีความต้องการสูง เช่น จ.น่าน ปัจจุบันเริ่มก่อสร้างแล้ว คาดจะเปิดบริการปีหน้า และที่อยู่ในแผนที่จะก่อสร้างอีกพื้นที่หนึ่ง คือ จ.มหาสารคาม ปัจจุบันอยู่ในช่วงออกแบบก่อสร้าง

จุดเด่นและแนวทางการดูแลผู้ป่วย

สำหรับการให้บริการของ เครือรามคำแหง ยังคงเน้นตามความตั้งใจเดิมสมัยก่อตั้งคือให้ความสำคัญกับการดูแล “คนไทย” ทุกระดับชั้น ไม่ว่าจะเป็นระบบ 30 บาท, ประกันสังคม, ชำระเงินสด/ประกัน มี “ศูนย์ความเป็นเลิศ” (Center of Excellence) สำหรับโรคเฉพาะทางที่ซับซ้อนและโรคยาก เช่น ระบบหัวใจ ระบบประสาท ระบบทางเดินอาหาร และหู คอ จมูก ซึ่งเป็นที่ยอมรับและมีชื่อเสียง   

โดยเน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Preventative Care) และการตรวจสุขภาพครบวงจร เพื่อป้องกันโรคก่อนที่จะลุกลาม รวมทั้งใช้กลยุทธ์การส่งต่อผู้ป่วย (Referral Program) โดยมีโรงพยาบาลหลัก (Flagship) ในแต่ละภูมิภาค/เมืองใหญ่ ( 5 แห่งในกรุงเทพฯ) เพื่อรองรับผู้ป่วยทั่วไป และส่งต่อเคสยากไปยังศูนย์เฉพาะทางที่มีความพร้อม อย่างเช่นโรงพยาบาลราม 2 กำลังพัฒนาเป็นศูนย์รังสีรักษา 4 มิติ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่แม่นยำในการรักษาโดยเล็งเป้าหมายเฉพาะเนื้อร้ายโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อดี

เปิดกลยุทธ์ลงทุนกลุ่ม "RAM" สู่บริษัทย่อย เพิ่มอำนาจบริหารปักธง 'Medical for All'

2568 ปีที่ยากและปีที่ดีของเครือรามคำแหง

สำหรับการบริหารธุรกิจปีนี้ ดร.ฤกขจี ยอมรับว่าปีนี้ถือเป็น “ปีที่ยาก” เนื่องด้วยสภาพเศรษฐกิจ แต่ก็เป็น “ปีที่ดี” ของเครือรามคำแหงจากความสำเร็จในการลงทุนในเครือธนบุรี เพราะการรวมกิจการกับเครือธนบุรีคาดว่าจะทำให้การเติบโตของเครือรามคำแหงโดยรวมเพิ่มขึ้น 30-40% ในปีนี้ คำนวณจาก 4 เดือนสุดท้ายของการรวมงบด้วย และจะเติบโตยิ่งขึ้นในปีหน้าเมื่อรวมงบเต็มปี 

โดยในอนาคตจะเน้นการปรับโครงสร้างการถือหุ้น จากบริษัทร่วมที่มีสัดส่วนกระจัดกระจาย ที่ถือหุ้นตั้งแต่ 5-50% ให้กลายเป็นบริษัทย่อยที่มีสัดส่วนเกิน 50% เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและมีแผนพัฒนาโรงพยาบาลราม 1 ที่เป็นโรงพยาบาลหลักให้ทันสมัย และพิจารณาขยายสู่ตลาด Medical Tourism โดยเรียนรู้จากโรงพยาบาลธนบุรีบำรุงเมือง

“การลงทุนของโรงพยาบาลเน้นที่จังหวะและโอกาสในการลงทุน ถ้ามีจังหวะที่เหมาะสมเราก็จะลงทุนแต่จะเน้นไปที่การเปลี่ยนจากบริษัทร่วมเป็นบริษัทย่อยให้ได้มากที่สุดเพื่อเพิ่มอำนาจในการบริหารจัดการให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ป่วยคนไทยเป็นหลัก โดยต้องการให้บริการคนไข้ในไทยให้เข้าถึงการบริการก่อน ก่อนจะมุ่งเน้นการรับคนไข้ต่างชาติในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าเชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีจุดแข็งด้าน Hospitality และ Service mind รวมถึง Facility ที่ดี ซึ่งเป็นจุดแข็งที่ชนะคู่แข่งได้” ดร.ฤกขจี กล่าวทิ้งท้าย

เปิดกลยุทธ์ลงทุนกลุ่ม "RAM" สู่บริษัทย่อย เพิ่มอำนาจบริหารปักธง 'Medical for All'

เปิดกลยุทธ์ลงทุนกลุ่ม "RAM" สู่บริษัทย่อย เพิ่มอำนาจบริหารปักธง 'Medical for All'

เปิดกลยุทธ์ลงทุนกลุ่ม "RAM" สู่บริษัทย่อย เพิ่มอำนาจบริหารปักธง 'Medical for All'