ไทยอันดับ2 เทคโนโลยีการแพทย์ ใช้ AI เชื่อมต่อเข้าถึงการดูแลสุขภาพ

จากข้อมูลของศูนย์วิจัยกรุงศรี พบว่ามูลค่าตลาดเครื่องมือแพทย์ในประเทศไทย รวมส่งออกมีมูลค่ามากกว่า 200,000 ล้านบาท
KEY
POINTS
- ประเทศไทยได้รับการชื่นชมในความพยายามด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ ซึ่งถือว่าเป็นผู้นำ หรืออันดับสองในอาเซียน แต่มีข้อจำกัดด้านทรัพยากรและงบประมาณ
- การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ของผู้คน เป็นปัญหาใหญ่ที่หลายๆ ประเทศกำลังเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทท้องถิ่นชุมชน ซึ่งไทยมีความจำเป็นต้องเชื่อมโยงการบริการทางการแพทย์
- ฟิลิปส์ มีการสนับสนุนเทคโนโลยีทางการแพทย์ของไทยมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพื่อสร้างการเข้าถึงและความเท่าเทียมในการดูแลสุขภาพที่ดีขึ้นสำหรับคนไทย
จากข้อมูลของศูนย์วิจัยกรุงศรี พบว่ามูลค่าตลาดเครื่องมือแพทย์ในประเทศไทย รวมส่งออกมีมูลค่ามากกว่า 200,000 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าในปี 2566-2568 ตลาดเครื่องมือแพทย์ของไทยจะเติบโตเฉลี่ย 5.5-7.0% ต่อปี ซึ่งระบบสาธารณสุขทั่วโลกยังเผชิญข้อจำกัดด้านทรัพยากรและงบประมาณ โรงพยาบาลหลายแห่งยังใช้ระบบที่ไม่สามารถเชื่อมต่อข้อมูลได้เต็มที่
ขณะเดียวกัน องค์การอนามัยโลก (WHO) คาดการณ์ว่า ภายในปี 2573 ทั่วโลกจะขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ถึง 15 ล้านคน และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ถึง 6.9 ล้านคน ส่งผลถึงระบบสาธารณสุขและการจัดการผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่มีความท้าทายมากขึ้น
เมื่อความต้องการและจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น แต่จำนวนบุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอ ฟิลิปส์ (PHILIPS)ในฐานะผู้นำด้านการดูแลสุขภาพระดับโลกจึงไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ เพื่อรองรับความต้องการและสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะนวัตกรรมในพอร์ตโฟลิโอ Connected Care เพื่อการเชื่อมต่ออย่างต่อเนื่องตลอดการดูแลรักษา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
‘ฟิลิปส์’ เติบโตเกิน 10% เผยผลสำรวจระบุชัด AI ขับเคลื่อนธุรกิจ Healthcare
กรมการแพทย์! ลุยปั้นคน-เทคโนโลยีขั้นสูง ดันไทยติด Top 3 เอเชีย
อัปสุขภาพกว่า2.5พันล้านคนทั่วโลก
จูเลีย สแตรนด์เบิร์ก ประธานฝ่ายธุรกิจ Monitoring & Connected Care รอยัล ฟิลิปส์ ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” เกี่ยวกับ “บทบาทของเทคโนโลยีดิจิทัล ต่อการยกระดับการบริการด้านสุขภาพและสาธารณสุข”ว่า ฟิลิปส์มีพันธกิจสำคัญในการยกระดับสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้คนกว่า 2.5 พันล้านคนทั่วโลก ปัจจุบันโซลูชัน Hospital Patient Monitoring (HPM) และ Connected Care ของฟิลิปส์ได้ช่วยดูแลผู้ป่วยมาแล้วกว่า 700 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งเทคโนโลยี Virtual Care (บริการดูแลรักษาเสมือนผ่านทางออนไลน์) ช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงระบบสาธารณสุขและการรักษาได้มากขึ้น
“พอร์ตโฟลิโอเครื่องมือทางการแพทย์ในกลุ่ม Connected Care เป็นโซลูชันที่เชื่อมต่ออย่างไร้รอยต่อตั้งแต่การดูแลรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลไปถึงการดูแลต่อที่บ้าน การเชื่อมต่อข้อมูลจากทางไกลมาสู่ศูนย์กลาง เพื่อปรึกษาแพทย์เฉพาะทางหรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการจัดการข้อมูลของผู้ป่วยจากหลากหลายอุปกรณ์มาไว้ในที่เดียว ทำให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ป่วยได้สะดวกยิ่งขึ้น” จูเลีย กล่าว
หนุนการเข้าถึง-เท่าเทียมดูแล
จูเลีย กล่าวต่อว่าประเทศไทยได้รับการชื่นชมในความพยายามด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ ซึ่งถือว่าเป็นผู้นำ หรืออันดับสองในอาเซียน แต่ทั้งนี้ ข้อจำกัดของการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย คือ ทรัพยากรและงบประมาณ ที่อาจจะต้องใช้จำนวนมาก รวมถึงข้อระเบียบต่างๆ ในแต่ละประเทศ
“เทคโนโลยีทางการแพทย์” จะเป็นหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย ที่สามารถช่วยยกระดับบริการสุขภาพให้ได้มาตรฐานสากล เพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก สร้างโอกาสการเข้าถึงการรักษาที่เท่าเทียม, ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ให้พึ่งพาตนเองได้มากขึ้น ลดการพึ่งพาการนำเข้า และสร้างงานใหม่ๆ จาก Health Tech Startup
จูเลีย กล่าวต่อว่าฟิลิปส์ มีการสนับสนุนเทคโนโลยีทางการแพทย์ของไทยมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพื่อสร้างการเข้าถึงและความเท่าเทียมในการดูแลสุขภาพที่ดีขึ้นสำหรับคนไทย เช่น ในอดีตมีการบริจาคอุปกรณ์ เช่น เครื่องติดตามผู้ป่วย 100 เครื่อง มูลค่าประมาณ 3 ล้านบาท ให้กับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อช่วยโรงพยาบาลที่ประสบภัยน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 หรือการบริจาคเครื่องอัลตราซาวด์หัวใจ (Echo Chirograph) ให้กับโรงพยาบาลบางแห่ง ร่วมกับสมาคมโรคหัวใจแห่งประเทศไทย ในการออกหน่วยเคลื่อนที่ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ชนบท”
“การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ของผู้คน เป็นปัญหาใหญ่ที่หลายๆ ประเทศกำลังเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทท้องถิ่นชุมชน ซึ่งไทยมีความจำเป็นต้องเชื่อมโยงการบริการทางการแพทย์ ฟิลิปส์ได้มีการนำเทคโนโลยีทางการแพทย์มาให้บริการในโรงพยาบาลต่างๆ ทั้งโรงพยาบาลรัฐ โรงเรียนแพทย์ และโรงพยาบาลเอกชน รวมทั้งนวัตกรรมใหม่ๆ และ “Mobility applications” โดยมุ่งเน้นเครื่องมือแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) โรคหัวใจ และโรคปอด ที่พบผู้ป่วยจำนวนมาก” จูเลีย กล่าว
AI ช่วยประมวลผล คาดการณ์ล่วงหน้า
ประเทศไทยอยู่ใน “shortlist” ที่จะเป็นหนึ่งในประเทศแรกๆ ที่ผลิตภัณฑ์ใหม่ของ “Philips” จะเปิดตัวในเวลาอันสั้นหลังจากเปิดตัวทั่วโลก และการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในประเทศไทยขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎระเบียบ ความปลอดภัย และนโยบายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดสำหรับการลงทะเบียน
จูเลีย กล่าวด้วยว่าวิกฤติทางด้านเศรษฐกิจ ความขัดแย้งของสงคราม หรือการปรับอัตราภาษีของสหรัฐ อาจจะไม่ได้กระทบต่อการนำเข้าเครื่องมือทางการแพทย์ ซึ่งทิศทางของฟิลิปส์จะยังคงเน้นในด้านการเป็นโซลูชันสุขภาพที่เชื่อมต่อถึงกัน ด้วยการใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยในการประมวลผล และความสามารถในการคาดการณ์ล่วงหน้า (predictive analytics) เพื่อคาดการณ์แนวโน้มอาการของผู้ป่วยและแจ้งเตือนล่วงหน้าให้แก่บุคลากรทางการแพทย์หรือผู้ดูแลทราบ
นอกจากนั้น ฟิลิปส์ให้ความสำคัญกับการวิจัยด้าน AI และเกี่ยวกับโรคหัวใจ โดยทำงานร่วมกับนวัตกรรมในกลุ่ม Image-guided Therapy เพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์และข้อมูลทั้งหมดของผู้ป่วยโรคหัวใจ ช่วยให้แพทย์และพยาบาลติดตามอาการผู้ป่วยได้จากทุกที่ ไม่ว่าจะอยู่ในห้องอื่นของโรงพยาบาล หรือนอกโรงพยาบาลสามารถวินิจฉัย รักษา และติดตามอาการผู้ป่วยได้อย่างแม่นยำ และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
“Connected Care”เชื่อมต่อดูแลรักษา
“Connected Care” เป็นโซลูชันที่รองรับการเชื่อมต่อในการดูแลรักษา ตั้งแต่ผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาลหรือแผนกฉุกเฉิน ไปจนถึงห้องผ่าตัด แผนก ICU และการพักรักษาในหอผู้ป่วยทั่วไปจนถึงช่วงพักฟื้นที่บ้าน ในประเทศไทย HPM และ Connected Care ของฟิลิปส์ถูกใช้อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในโรงพยาบาลขนาดใหญ่และโรงเรียนแพทย์
โดยมีหลักการสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่
1.Seamless (ไร้รอยต่อ) : ข้อมูลผู้ป่วยถูกเชื่อมโยงต่อเนื่อง ตั้งแต่ห้องผ่าตัด → ICU → วอร์ดผู้ป่วยทั่วไป โดยไม่ขาดตอน ต่างจากระบบเดิมที่ข้อมูลมักหายไปเป็นช่วงๆ
2.Connected (เชื่อมต่อ) : เครื่องมือทางการแพทย์รอบเตียง เช่น เครื่องให้ยา น้ำเกลือ และข้อมูลจากห้องแล็บ ถูกเชื่อมเข้าสู่จอมอนิเตอร์ ทำให้แพทย์เห็นภาพรวมได้ทันที
3.Interoperable (แลกเปลี่ยนข้อมูลได้) : ข้อมูลผู้ป่วยสามารถส่งต่อถึงทุกแผนก แพทย์ติดตามผลตรวจหรือดูผลได้ทุกที่ ทุกเวลา ลดภาระงานซ้ำซ้อนและเพิ่มเวลาในการดูแลผู้ป่วยโดยตรง







