เปิดเทอมพร้อมฝน '5 โรคฮิตในเด็ก' พ่อแม่ต้องเตรียมรับมือ

เปิดเทอม มักเป็นช่วงเวลาที่เด็กๆ มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคต่างๆ มากขึ้น เนื่องจากมีการรวมตัวของเด็กจำนวนมากในสถานที่ต่างๆ
KEY
POINTS
- ช่วงเวลาเปิดเทอม เด็กจะไปโรงเรียนและรวมตัวทำกิจกรรมทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อโรคต่างๆ โดยเฉพาะในเด็กเล็กอายุ 2-5 ปี
- ความชื้นในฤดูฝนอาจเป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆ เช่น โรคตาแดง โรคมือ เท้า ปาก โรคอุจจาระร่วง โรคไข้หวัดใหญ่ โรคไข้เลือดออก โรคสุกใส โรคRSV และโควิด-19
- แนวทางป้องกัน ควรฉีดวัคซีนตามวัย รักษาสุขอนามัยอยู่เสมอ ทั้งการล้างมือ ใส่หน้ากากอนามัยในที่แออัด และพบแพทย์ทันทีหากมีอาการไม่สบาย
ช่วงเปิดเทอม มักเป็นช่วงเวลาที่เด็กๆ มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคต่างๆ มากขึ้น เนื่องจากมีการรวมตัวของเด็กจำนวนมากในสถานที่ต่างๆ อาทิ โรงเรียน ศูนย์รับเลี้ยงเด็ก ห้องเรียน สนามเด็กเล่น โรงอาหาร และพื้นที่แออัดอื่นๆ ทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรคได้ง่าย โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่ ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายกว่าปกติ
เมื่อพิจารณาเรื่องโรคติดต่อในเด็กที่พบบ่อยในช่วงเปิดเทอมและฤดูฝน ได้แก่ โรคมือเท้าปาก โรคอุจจาระร่วง และโรคไข้หวัดใหญ่ โดยจากข้อมูลระบบรายงานเฝ้าระวังโรค พบว่าอัตราป่วยโรคมือเท้าปาก ส่วนใหญ่พบในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี โดยสถานการณ์ปี 61-65 พบว่า ปี 65 มีอัตราป่วยสูงถึง 2,624 คนต่อแสนประชากร และอัตราป่วยโรคท้องร่วงและไข้หวัดใหญ่ ในเด็ก 0-14 ปี มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในปี 65
นอกจากนั้น พฤติกรรมสำคัญของกลุ่มเด็กอายุน้อยกว่า 15 ปี มีแนวโน้มลดลง ได้แก่
- การสวมหน้ากากเมื่อป่วยหรือมีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
- การสวมหน้ากากเมื่ออยู่ในสถานที่แออัด
- การล้างมือบ่อยๆ และ
- กินอาหารปรุงสุกสะอาด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
5 โรคฮิตในเด็กเล็ก ในช่วงเปิดเทอมหน้าฝน
พญ.สุวรรณา บัวทองศรี แพทย์ประจำสาขาศัลยกรรมทั่วไป โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ กล่าวว่า 5 โรค มาแรง ที่มักระบาดในกลุ่มเด็กนักเรียนช่วงเปิดเทอมจึงเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้าม รู้ก่อนป้องกันก่อน เพื่อดูแลลูกรักให้แข็งแรงและเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่ในทุกวัน ได้แก่
1. โรคมือ เท้า ปาก
จัดเป็นโรคในเด็กที่พบได้บ่อย เกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่มเอนเทอโรไวรัส พบมากในเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปี โดยมีอาการไข้สูง เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย และมีตุ่มพองหรือแผลในปาก ฝ่ามือ และฝ่าเท้า โดยปกติแล้ว โรคมือ เท้า ปาก จะหายได้เองภายใน 7-10 วัน แต่ในเด็กบางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ ติดต่อได้ทาง น้ำลาย น้ำมูก น้ำจากตุ่มพอง อุจจาระ และสิ่งของที่เด็กใช้ร่วมกัน เช่น ของเล่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดตัว เป็นต้น
ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ที่เกิดจากเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71 (EV71) เริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือน – 5 ปี โดยฉีดทั้งหมด 2 เข็ม ห่างกัน 1 เดือน
2. โควิด-19
เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัส SARS-CoV-2 แม้จะเริ่มระบาดมาหลายปีแล้ว แต่โควิด-19 ก็ยังคงอยู่และมีการกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ใหม่อยู่เป็นระยะ ปัจจุบันในประเทศไทย ยังคงมีผู้ป่วย และมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้อยู่ แต่ส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรง และได้รับการยืนยันจากกระทรวงสาธารณสุขแล้วว่า โรคโควิด-19 ได้กลายเป็นโรคประจำถิ่นแล้ว
- อาการของโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน
ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรงหรือแสดงอาการเพียงเล็กน้อย เช่น ไอแห้ง เจ็บคอ คัดจมูกปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย ไข้ต่ำ หรือสูญเสียการรับรู้รสหรือกลิ่น
แต่อย่างไรก็ตาม ในผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือผู้ที่ภูมิคุ้มกันต่ำ อย่างเด็กเล็ก อาจมีอาการรุนแรง เช่น หายใจลำบาก ปอดอักเสบ หรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ
- ภาวะแทรกซ้อนที่ควรระวังในเด็ก
หนึ่งในภาระแทรกซ้อนที่สำคัญคือ กลุ่มอาการอักเสบในหลายระบบของร่างกาย (MIS-C) ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังการติดเชื้อ 2-8 สัปดาห์ โดยจะมีอาการไข้ ร่วมกับอาการอื่น อย่างน้อย 2 ระบบ เช่น
- ระบบทางเดินอาหาร (ปวดท้อง, ท้องเสีย, อาเจียน)
- ระบบผิวหนังและเยื่อบุ (ผื่น, ตาแดง, มือเท้าบวมแดง)
- ระบบหัวใจ (เจ็บหน้าอก, ความดันโลหิตต่ำ)
- ระบบประสาท หรือระบบอื่นๆ
3. ไข้หวัดใหญ่
อีกหนึ่งโรคที่พบบ่อยในกลุ่มเด็กนักเรียน เป็นโรคทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัส Influenza ซึ่งมีอยู่หลายสายพันธุ์ และเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ได้ตลอดเวลา มีอาการไข้สูงเฉียบพลัน ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย และอาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม หลอดลมอักเสบ ภาวะชักจากไข้สูง หรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
ไข้หวัดใหญ่ถือเป็นโรคในเด็กที่สามารถป้องกันได้ หากมีการดูแลสุขภาพอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ การฉีดวัคซีนและรักษาสุขอนามัยเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยง และป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้าง
4. RSV (Respiratory Syncytial Virus)
เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ที่พบมากในเด็กเล็ก ซึ่งสามารถพบการระบาดได้บ่อยในช่วงฤดูฝน และสามารถแพร่กระจายได้ง่ายผ่านทางสารคัดหลั่งต่างๆ เช่น น้ำมูก น้ำลาย หรือการสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส เด็กที่ติดเชื้อจะเริ่มแสดงอาการภายใน 4–6 วันหลังสัมผัสเชื้อ โดยมีอาการที่คล้ายไข้หวัดในช่วงแรก ได้แก่ ไข้ ไอแห้ง น้ำมูกไหล คัดจมูก เบื่ออาหาร และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น ปัญหาด้านการหายใจ หลอดลมอักเสบ หรือปอดบวม บางรายอาจถึงขั้นเสียชีวิต หากระบบทางเดินหายใจล้มเหลว
RSV เป็นหนึ่งในโรคติดเชื้อทางเดินหายใจในเด็กที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ปัจจุบันมีการให้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป Nirsevimab เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส RSV โดยแนะนำให้ฉีดก่อนฤดูกาลระบาดของโรค RSV (ช่วงเดือน มิ.ย. - ต.ค.)
- ฤดูกาลแรก: แนะนำให้ฉีดในทารกอายุน้อยกว่า 8 เดือน ที่มีสุขภาพแข็งแรงดี และทารกอายุ 12 เดือน ที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อ RSV อย่างรุนแรง
- ฤดูกาลที่ 2: แนะนำให้ฉีดในเด็กอายุน้อยกว่า 19 เดือน ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยรุนแรงจาก RSV
5. สุกใส
โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส Varicella-Zoster ซึ่งสามารถติดต่อได้ง่ายผ่านทางการหายใจ (ละอองฝอย) หรือการสัมผัสน้ำจากตุ่มใสของผู้ป่วย จะมีอาการไข้ อ่อนเพลีย มีผื่นแดง ตุ่มน้ำใสๆ ขึ้นตามตัวและใบหน้าโดยปกติแล้วตุ่มมักจะหายภายใน 7-10 วัน แต่ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ในเด็กที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง
โรคสุกใส สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน แนะนำให้ฉีดวัคซีนสุกใสเข็มแรกที่อายุ 12 – 15 เดือน และกระตุ้นเข็ม 2 ที่อายุ 18 เดือน – 4 ปี
ระวังโรคติดเชื้อในช่วงเปิดเทอม
นอกจากนั้น กรมการแพทย์แนะ เฝ้าระวัง โรคติดเชื้อในช่วงเปิดเทอม มีดังนี้
- โรคตาแดง อาการ คือ ตาแดง คันตา ปวดตา มีขี้ตามากผิดปกติ เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสที่เยื่อบุตา ติดต่อได้โดยการสัมผัสน้ำตาและขี้ตา ของผู้ป่วย
- โรคมือเท้าปาก อาการ คือ มีไข้ มีตุ่มอักเสบที่ ปาก ลิ้น เหงือก กระพุ้งแก้ม เป็นตุ่มแดง ตุ่มน้ำใส หรือ ผื่นนูน มักพบในเด็กเล็กมากกว่าเด็กโต ติดต่อโดยการสัมผัสโดยตรงกับน้ำลาย น้ำมูก ตุ่มพอง ของผู้ป่วย
- โรคอุจจาระร่วง อาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง ถ้าอาการรุนแรงควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว โรคนี้เกิดจากการกินอาหาร หรือดื่มน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน รวมถึงการจับของเล่นสกปรกเข้าปากของลูกน้อย
- โรคไข้เลือดออก อาการ มีไข้สูง พบผื่น จุดแดง ซึม อ่อนเพลีย ปวดท้องที่ชายโครง รวมถึงคลื่นไส้และอาเจียน ซึ่งโรคนี้มียุงลายเป็นพาหะนำโรค หากมีไข้สูง ไม่ทราบสาเหตุควรรีบพาพบแพทย์ เพื่อทำการรักษาและมีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
ผู้ปกครองสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับลูก เช่น ฉีดวัคซีนตามวัย รักษาสุขอนามัยอยู่เสมอ การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ปรุงสุกใหม่ ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ สวมหน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด การสัมผัสและคลุกคลีกับผู้ป่วย มีการออกกำลังกายเป็นประจำ และพักผ่อนให้เพียงพอ รวมถึงมีการล้างมืออย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยให้ลูกน้อยมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง
สำหรับการเฝ้าระวังเพิ่มเติม คือ ควรกำจัดแหล่งน้ำขังที่สามารถเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคไข้เลือดออกอีกด้วย เมื่อดูแลและเฝ้าระวังแล้ว แต่พบลูกมีอาการผิดปกติ แนะนำให้พามาพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกวิธีต่อไป
อ้างอิง:โรงพยาบาลเปาโล , สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี







