วัคซีนตามวัย : ทำไมต้องเป๊ะ? ป้องกัน เพิ่มภูมิคุ้มกันที่ดี

วัคซีนตามวัย : ทำไมต้องเป๊ะ? ป้องกัน เพิ่มภูมิคุ้มกันที่ดี

การฉีดวัคซีน ถือเป็นการป้องกันโรค และเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับคนทุกช่วงวัย ไม่ใช่เฉพาะวัยเด็กเท่านั้นที่ต้องฉีดวัคซีน วัยทำงาน ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ ต่างต้องฉีดวัคซีน

KEY

POINTS

  • การเกิดโรคติดเชื้อชนิดใหม่ๆขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ ร่างกายของเราก็มีการปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด แต่ก็มีเชื้อโรคบางชนิดที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายอาจไม่สามารถสร้างขึ้นได้อย่างเพียงพอ
  • ฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคจึงเป็น สิ่งจำเป็นที่เราไม่ควรมองข้าม อย่าคิดว่า ร่างกายแข็งแรงดี หรือ เคยได้รับวัคซีนในวัยเด็กแล้ว ภูมิคุ้มกันโรคทุกอย่างจะอยู่ได้ยาวนานตลอดชีวิต
  • แต่ละช่วงวัย ทั้งวัยเด็ก วัยผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ ต่างต้องได้รับวัคซีนที่เหมาะสมตามช่วงอายุ อย่าง วัยรุ่น วัย ผู้ใหญ่-ผู้สูงอายุ จำเป็นต้องวัคซีนป้องกันคอตีบและบาดทะยัก วัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส HPV และวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี และวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ

การฉีดวัคซีน ถือเป็นการป้องกันโรค และเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับคนทุกช่วงวัย ไม่ใช่เฉพาะวัยเด็กเท่านั้นที่ต้องฉีดวัคซีน วัยทำงาน ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ ต่างต้องฉีดวัคซีน

ในชีวิตแต่ละช่วงของคนเรา อาจมีโอกาสสัมผัสโรคต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน  อีกทั้งอายุที่มากขึ้นอาจทำให้ภูมิคุ้มกันลดลงจนมีความเสี่ยงที่จะติดโรคต่างๆได้ ดังนั้นการฉีดวัคซีนในทุกช่วงวัย ตามอายุ จึงมีความจำเป็นเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันเดิมที่มีอยู่ให้สูงขึ้นให้เพียงพอต่อการป้องกันโรคและป้องกันการติดเชื้ออื่น ๆ

วัคซีนป้องกันโรคที่เป็นปัญหาสำคัญ วัคซีนสำหรับเด็กในปัจจุบันมี 2 ชนิด ชนิดแรกคือวัคซีนพื้นฐานที่เด็กไทยควรได้รับตามแผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของกระทรวงสาธารณสุข สำหรับป้องกันโรคที่เป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย ชนิดที่สองคือวัคซีนเสริม หรือวัคซีนที่อยู่นอกเหนือแผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของกระทรวงสาธารณสุข

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

ป้องกัน RSV : ทารกต่ำกว่า 8 เดือน ต้องฉีดวัคซีนก่อนหน้าฝน

ปลดล็อกกลไกจัดหา 'วัคซีน'ภาวะฉุกเฉิน แบบ'จองซื้อล่วงหน้า'

วัคซีนที่จำเป็นสำหรับเด็กในแต่ละช่วงวัย

วัคซีนพื้นฐานสำหรับเด็ก คืออะไร?

วัคซีนขั้นพื้นฐาน คือวัคซีนจำเป็นที่เด็กทุกคนควรจะได้รับตามคำแนะนำของสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย 2561 ตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขที่กำหนดไว้ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กไทยในแต่ละช่วงวัย ดังนี้

  • วัคซีนตับอักเสบบี (HBV) ควรฉีดตั้งแต่แรกเกิดและ 1 เดือน 6 เดือน ตามลำดับ
  • วัคซีนวัณโรค (BCG) จะฉีดเมื่อแรกคลอด ส่วนมากฉีดที่โรงพยาบาลก่อนกลับบ้านบริเวณที่ไหล่ซ้ายหรือสะโพก
  • วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน (DPT) ควรฉีดตามช่วงอายุตั้งแต่ 2, 4 และ 6 เดือน และฉีดเพื่อกระตุ้นการทำงานของวัคซีนอีกครั้งในช่วงอายุ 1 ปี 6 เดือน, 4-6 ปี และ 11-12 ปี (ฉีดเฉพาะบาดทะยัก-คอตีบ)
  • วัคซีนโปลิโอ มีด้วยกัน 2 ชนิด คือ ชนิดกิน และชนิดฉีดควรให้ตามช่วงอายุตั้งแต่ 2, 4, 6 เดือน, 1 ปี 6 เดือน และ 2 ปี ครึ่งตามลำดับ
  • วัคซีนหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม (MMR) / วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี (JE) ควรฉีดตามช่วงอายุคือ 1 ปี และ 2 ปี 6 เดือน
  • วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ควรฉีดในเด็กปีละครั้ง ตั้งแต่อายุ 6 เดือน ถึง 9 ปี สำหรับเด็กในปีแรกฉีด 2 เข็ม และห่างกัน 4 สัปดาห์
  • วัคซีนเอชพีวี (HPV) เป็นวัคซีนที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี สาเหตุสำคัญของมะเร็งปากมดลูก โดยสามารถป้องกันได้ร้อยละ 70-90 ชนิด 2 สายพันธุ์เฉพาะเด็กผู้หญิงเท่านั้น ชนิด 4 สายพันธุ์ และ 9 สายพันธุ์ จะเพิ่มป้องกันหูดอวัยวะเพศได้ด้วย ใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ช่วงวัยที่เหมาะสมที่แนะนำคือ 9 ปีขึ้นไป

วัคซีนตามวัย : ทำไมต้องเป๊ะ? ป้องกัน เพิ่มภูมิคุ้มกันที่ดี

วัคซีนตามวัย : ทำไมต้องเป๊ะ? ป้องกัน เพิ่มภูมิคุ้มกันที่ดี

วัคซีนตามวัย : ทำไมต้องเป๊ะ? ป้องกัน เพิ่มภูมิคุ้มกันที่ดี

วัคซีนเสริมสำหรับเด็ก เพิ่มภูมิต้านทานโรค

การรับวัคซีนเสริม หรือ วัคซีนทางเลือก เพิ่มภูมิต้านทานโรคอื่นๆ ก็จำเป็นเช่นเดียวกัน จะช่วยเสริมให้เด็กมีสุขภาพแข็งแรงยิ่งขึ้น วัคซีนเสริมจึงมีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรค ข้อดีของวัคซีนเสริมคือมีวัคซีนชนิดรวมฉีดเข็มเดียวแทนการแยกฉีดหลายเข็ม คุณผู้ปกครองจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปโรงพยาบาลบ่อยๆ โดยวัคซีนเสริมที่แนะนำจะมีดังนี้

- วัคซีนโรต้า วัคซีนเสริมป้องกันโรคอุจาระร่วง เป็นวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสโรต้า ซึ่งทำให้เกิดอาการ มีไข้ ท้องเสีย อาเจียน และอาจมีอาการรุนแรงจนร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่ได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก อายุน้อยกว่า 2 ปี โดยไวรัสโรต้าเป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดอาการท้องเสียที่สำคัญของเด็กเล็กในประเทศไทย ปัจจุบันวัคซีโรต้าอยู่ในรูปแบบรับประทาน มี 2 ชนิดตามสายพันธุ์ที่ใช้ในการผลิตวัคซีน คือ Monovalent (Human) 2 ครั้ง เมื่ออายุประมาณ 2 และ 4 เดือน และชนิด Pentavalent (Bovine- Human) 3 ครั้ง เมื่ออายุประมาณ 2,4,6 เดือน แนะนำให้วัคซีนในเด็กอายุ 2, 4, และ 6 เดือน หรือ 2, 4 เดือน แล้วแต่ชนิดของวัคซีนที่เลือกใช้

- วัคซีนนิวโมคอคคัส (IPD) เป็นวัคซีนป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัส หรือ Pneumoniae ซึ่งก่อให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ในเด็กเล็กโดยพบมาก นอกจากนั้นยังเป็นสาเหตุของโรคปอดอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ และติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างรุนแรงได้ วัคซีนนิวโมคอคคัสที่ใช้กันในปัจจุบันสำหรับเด็กเล็กมี 2 ชนิด แตกต่างกันตามจำนวนสายพันธุ์ของเชื้อ โดยแนะนำให้ฉีดในเด็กที่อายุตั้งแต่ 6 สัปดาห์ถึง 5 ปี โดยฉีดทั้งหมด 1-4 ครั้ง ขึ้นอยู่กับอายุที่เริ่มฉีด ชนิด PCV ฉีดช่วงอายุ 2 ,4 ,6 เดือน และฉีดกระตุ้นช่วง 12-15 เดือน หากเป็นชนิด PS23 ฉีดช่วงอายุ 2 ปีขึ้นไป

- วัคซีนฮิบ (Haemophilusinfluenzae type b) โรคฮิบ จะพบบ่อยมากในเด็กอายุ 2 เดือนถึง 5 ปี ทำให้เกิดโรคที่สำคัญหลายอย่าง เช่น โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคปอดอักเสบ โรคติดเชื้อในกระแสเลือด โรคไซนัสและโรคหูชั้นกลางอักเสบ ควรฉีดวัคซีนฮิบตามช่วงอายุตั้งแต่ 2, 4 และ 6 เดือน และฉีดเพื่อกระตุ้นการทำงานของวัคซีนอีกครั้งในช่วงอายุ 1 ปี 6 เดือน

- วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส ควรฉีดในเด็กตามช่วงอายุทั้งหมด 2 เข็ม เข็มแรกได้ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป หากยังไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใส แนะนำให้ฉีดครั้งที่ 2 เมื่ออายุ 4-6 ปี หากอายุเกิน 13 ปี ควรฉีด 2 ครั้ง ห่างกัน 4-8 สัปดาห์ เด็กที่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสแล้ว ยังมีโอกาสเป็นสุกใสแต่อาจเพียงเล็กน้อย

- วัคซีนตับอักเสบสายพันธุ์เอ ป้องกันการเกิดดีซ่าน ตัวเหลืองตาเหลืองจากเชื้อไวรัสตับอักเสบสายพันธุ์เอ ฉีดช่วงอายุ 1 ปีขึ้นไป ฉีด 2 ครั้ง ห่างกัน 6-12 เดือน และเข็มที่ 2 ห่างกัน 6- 12 เดือน

- วัคซีนไข้เลือดออก live-attenuated recombinant dengue2-dengue (Qdenga) สามารถป้องกันต่อเชื้อไวรัสไข้เลือดออกได้ถึง 4 สายพันธุ์ ป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ 80.2% ลดอัตราการนอนโรงพยาบาล 90.4% ฉีดได้ในผู้ที่มีอายุ 4 - 60 ปี เข้าใต้ผิวหนัง 2 เข็ม เว้นห่างกัน 3 เดือน ทั้งนี้ สามารถฉีดได้ทั้งในผู้ที่เคยและไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อนได้โดยไม่จำเป็นต้องตรวจภูมิคุ้มกันก่อนการฉีดวัคซีน

- วัคซีนเสริมไข้หวัดใหญ่ เริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือน ฉีดปีละ 1 ครั้ง เมื่อเริ่ม เข้าสู่หน้าฝน หรือเริ่มเข้าสู่หน้าหนาว เด็กอายุน้อยกว่า 9 ปี ที่ได้รับวัคซีนเป็นครั้งแรก ให้ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 1-2 เดือน วัคซีนป้องกันโรคได้ประมาณร้อยละ 60-70

- วัคซีนเสริมไวรัสฮิวแมนแปปิลโลมา ป้องกันการติดเชื้อโรคร้ายทางปากมดลูก ที่เป็นสาเหตุของโรคร้ายทางปากมดลูกได้ร้อยละ 70-90 ชนิด 2 สายพันธุ์ใช้กับผู้หญิงเท่านั้นชนิด 4 สายพันธุ์จะเพิ่มป้องกันหูดอวัยวะเพศได้ด้วย ใช้ได้กับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แนะนำ ทั่วไปในเด็กอายุตั้งแต่ 9 ปีขึ้นไป

แนะนำให้รับวัคซีนเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ลูกน้อยเพราะระบบภูมิต้านทานของทารกแรกเกิดยังไม่แข็งแรง ทำให้ติดโรคต่างๆและเจ็บป่วยได้ง่าย ทั้งนี้ "วัคซีน" สามารถช่วยสร้างภูมิต้านทานและปกป้องลูกจากการเจ็บป่วยต่างๆที่ร้ายแรงได้

 การปฏิบัติตัวสำหรับการรับวัคซีน

  • ควรนำสมุดบันทึกวัคซีนมาด้วยทุกครั้ง
  • ไม่ควรรับวัคซีนขณะที่มีไข้สูง หรือเจ็บป่วยเฉียบพลัน ยกเว้นเป็นหวัด ท้องเสียโดยไม่มีไข้ สามารถรับวัคซีนได้
  • หลังรับวัคซีนควรอยู่ในโรงพยาบาลอย่างน้อย 30 นาทีเพื่อดูปฏิกิริยาแพ้ยาหรือส่วนประกอบของวัคซีน
  • หากเคยฉีดยาแล้วมีอาการแพ้ยา แพ้อาหาร เช่น มีอาการแพ้ไข่แบบรุนแรง กรุณาแจ้งกุมารแพทย์หรือพยาบาล

การสร้างเกราะป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ให้ลูกน้อยด้วยการฉีดวัคซีนเป็นสิ่งจำเป็น เพราะวัคซีนจะทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทาน และปกป้องลูกน้อยของคุณจากการเจ็บป่วยต่างๆ ได้ เด็กทุกคนควรได้รับวัคซีนตั้งแต่แรกเกิด ผู้ปกครองสามารถทราบได้จากกุมารแพทย์ว่าลูกควรได้รับวัคซีนพื้นฐานหรือวัคซีนจำเป็นเมื่อใดชนิดใดบ้าง ปัจจุบันวัคซีนสำหรับเด็กตั้งแต่แรกเกิดมีเพิ่มมากขึ้น ป้องกันโรคได้ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อส่งเสริมให้เด็กๆ มีสุขภาพที่แข็งแรงยิ่งๆ ขึ้นไป

วัยทำงาน ผู้ใหญ่ ควรฉีดวัคซีน เพื่อป้องกันโรค

นพ. ณัฐพล โรจน์เจริญงาม แพทย์เวชศาสตร์​ป้องกัน โรงพยาบาลสมิติเวช  กล่าวว่า เนื่องด้วยภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป เชื้อโรคหลายชนิดมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา โรคติดเชื้อบางอย่างได้หายไปจากโลกนี้ ขณะที่มีการเกิดโรคติดเชื้อชนิดใหม่ๆขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ ร่างกายของเราก็มีการปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด แต่ก็มีเชื้อโรคบางชนิดที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายอาจไม่สามารถสร้างขึ้นได้อย่างเพียงพอ ในการป้องกันหรือต่อสู้กับโรคนั้นๆ และอาจก่อให้เกิดผลกระทบทางสุขภาพที่รุนแรงหรืออาจทำให้เสียชีวิตได้ การฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคจึงเป็น สิ่งจำเป็นที่เราไม่ควรมองข้าม อย่าคิดว่า ร่างกายแข็งแรงดี หรือ เคยได้รับวัคซีนในวัยเด็กแล้ว ภูมิคุ้มกันโรคทุกอย่างจะอยู่ได้ยาวนานตลอดชีวิต

วัคซีนสำหรับผู้ใหญ่

ไม่ใช่เฉพาะเด็กเท่านั้น ที่วัคซีนมีความสำคัญ ในวัยรุ่น-วัยผู้สูงอายุก็จำเป็นต้องได้รับวัคซีนป้องกันโรคสำหรับผู้ใหญ่เช่นกัน โดยวัคซีนที่จำเป็นต้องฉีดในช่วงอายุตั้งแต่ 19 – 64 ปี ได้แก่

1. วัคซีนป้องกันคอตีบและบาดทะยัก

ผู้ใหญ่ที่เกิดหลังปี 2520 อาจได้รับวัคซีนชนิดนี้แล้วตั้งแต่วัยเด็ก เนื่องจากวัคซีนนี้จะเริ่มให้เป็นวัคซีนพื้นฐานสำหรับทารกทุกคนตั้งแต่ปี 2520 แต่อย่างไรก็ตามภูมิคุ้มกันของทั้ง 3 โรคนี้จะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป

โดยพบว่าวัยรุ่นและผู้ใหญ่อายุ 15 ขึ้นไปมีภูมิคุ้มกันต่อโรคคอตีบลดลง และในอดีตมีการระบาดของโรคคอตีบเมื่อปี 2555 ซึ่งส่วนใหญ่เกิดในกลุ่มอายุ 15-44 ปี

สำหรับโรคบาดทะยัก กลุ่มผู้สูงอายุถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อบาดทะยักมากที่สุด เนื่องจากส่วนใหญ่ไม่เคยรับวัคซีนมาก่อน (เพราะกลุ่มผู้สูงอายุเกิดก่อนช่วงที่มีวัคซีน) หรือไม่ได้รับการฉีดกระตุ้นมาเป็นระยะเวลานานทำให้ภูมิคุ้มกันต่อโรคบาดทะยักลดลง

สำหรับโรคไอกรนถึงแม้อาการของโรคไม่รุนแรงในผู้สูงอายุแต่หากมีการแพร่และมีการติดเชื้อในเด็กทารกอาจทำให้ทารกอาการหนักจนถึงเสียชีวิตได้ โดยรายงานพบว่าภูมิคุ้มกันของโรคไอกรนในประชากรไทยมีเพียง 50% เท่านั้นถึงแม้จะเคยฉีดวัคซีนมาก่อน  ดังนั้นผู้ใหญ่และผู้สูงอายุทุกคนควรฉีดวัคซีนกระตุ้น โดยแนะนำให้ฉีด บาดทะยัก คอตีบ ไอกรน (Tdap) 1 เข็มจากนั้นฉีดกระตุ้นด้วย Tdap หรือ Td (บาดทะยัก คอตีบ) ทุก 10 ปี

2. วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี

ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2535 เป็นต้นมา เด็กทุกคนจะได้รับวัคซีนนี้ในช่วงแรกเกิด แต่ในผู้ที่เกิดก่อนปีพ.ศ. 2535 หากตรวจเลือดแล้วพบว่าไม่มีภูมิคุ้มกัน ก็ควรที่จะได้รับการฉีดวัคซีนนี้ ร่างกายเราไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันโรคไวรัสตับอักเสบบีขึ้นมาเองได้ นอกจากผู้ที่เคยเป็นโรคนี้แบบเฉียบพลันมาก่อน และเมื่อหายจากโรค ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันที่สามารถอยู่ได้ตลอดชีวิต

แต่ในผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ตั้งแต่ยังเด็ก โอกาสที่เป็นโรคแล้วหายจะน้อย คือจะมีเชื้อนี้อยู่ในร่างกายไปตลอด เรียกว่าเป็นพาหะของโรคไวรัสตับอักเสบบี เนื้อเยื่อตับมีโอกาสจะถูกเชื้อไวรัสทำลาย โดยเฉพาะตอนที่ร่างกายอ่อนแอ และเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งตับ โดยปกติการให้วัคซีนนี้จะให้ทั้งหมด 3 เข็มในระยะเวลา 6 เดือน โดยทั่วไปแล้วไม่มีความจำเป็นต้องตรวจระดับภูมิคุ้มกันหลังรับวัคซีน และไม่จำเป็นต้องรับวัคซีนซ้ำอีก

วัคซีนตามวัย : ทำไมต้องเป๊ะ? ป้องกัน เพิ่มภูมิคุ้มกันที่ดี

3. วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่

จริงๆ แล้วผู้มีสุขภาพแข็งแรงในวัยผู้ใหญ่ไม่ได้ถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงจากโรคไข้หวัดใหญ่โดยตรง เมื่อเป็นแล้วมักจะหายได้เอง โอกาสที่จะเป็นโรครุนแรง เช่น ปอดอักเสบ หรือเสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่ พบได้น้อย ความน่ากลัวของเชื้อในกลุ่มคนที่มีความแข็งแรงอาจไม่น่ากลัว แต่ถ้าเมื่อใดที่เชื้อไปติดในกลุ่มเด็กเล็กหรือกลุ่มคนที่มีโรคภูมิต้านทานน้อย มีโอกาสที่จะทำให้เสียชีวิตได้

แต่เดิมวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ถูกแนะนำให้ฉีดเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงที่ภูมิต้านทานน้อยเท่านั้น แต่เมื่อเกิดการระบาดในวงกว้าง ประชากรทั่วไปที่ถึงแม้จะใช่กลุ่มเสี่ยง ถ้าได้รับการฉีดวัคซีนก็เท่ากับเป็นการช่วยกลุ่มเสี่ยง เพราะเป็นการจำกัดการแพร่ระบาดของเชื้อให้อยู่ในวงแคบลง และกลุ่มเสี่ยงก็จะสัมผัสเชื้อน้อยลง ลดโอกาสติดเชื้อรุนแรงและลดการสูญเสียได้มาก โดยปกติเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆทุกปี ข้อแนะนำสำหรับบุคคลทั่วไปคือ ควรรับวัคซีนนี้อย่างน้อยปีละครั้ง

4. วัคซีนป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน (measles mumps rubella vaccine : MMR)

สำหรับวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ที่ไม่มีภูมิต้านทานต่อโรคหัด ได้แก่ ไม่เคยฉีดวัคซีน และไม่เคยเป็นโรคหัดมาในอดีตหรือตรวจไม่พบภูมิต้านทานต่อโรคหัด หรือในหญิงที่วางแผนจะมีบุตรและตรวจไม่พบภูมิต้านทานโรคหัดเยอรมัน หรือในกรณีผู้ที่เรียนระดับอุดมศึกษาสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคหัด หรือในขณะนั้นกำลังมีโรคหัดระบาด รวมทั้งนักเรียนที่ต้องเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ โดยแนะนำให้ฉีดวัคซีนนี้ 1 เข็ม และกระตุ้นอีก1 เข็มห่างจากเข็มแรกอย่างน้อย 4 สัปดาห์

5. วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส HPV

สาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูกเกิดจากการติดเชื้อ HPV ซึ่งเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 2 ของผู้หญิง และเชื้อ HPV ยังเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งทวารหนักในเพศชาย มะเร็งในคอหอย หูดหงอนไก่ที่อวัยวะเพศ และมะเร็งที่อวัยวะเพศ 

วัคซีนดังกล่าวช่วยป้องกันเชื้อไวรัส HPV ซึ่งก่อโรคมะเร็งปากมดลูก   แนะนำให้ฉีดในเด็กและวัยรุ่นหญิงและชายอายุตั้งแต่ 9 – 26 ปี ถือว่าเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากวัคซีนนี้ โดยกลุ่มที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์จะเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์สูงสุด ส่วนผู้หญิงที่มีอายุเกิน 26 ปีก็จะยังได้รับประโยชน์จากวัคซีนนี้ โดยควรปรึกษาสูตินรีแพทย์ก่อนการรับวัคซีน

ทั้งนี้ แม้การติดเชื้อ HPV ในผู้ชายส่วนใหญ่จะไม่ก่อให้เกิดอาการ แต่การฉีดวัคซีนในผู้ชายจะช่วยป้องกันการเป็นพาหะที่จะนำเชื้อไปสู่ผู้หญิง วัคซีนมะเร็งปากมดลูกมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ HPV ได้ 90-100% และภูมิคุ้มกันอยู่ได้นานอย่างน้อย 10 ปี

6. วัคซีนอีสุกอีใส (varicella zoster)

วัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ที่ยังไม่เคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อนควรฉีดวัคซีนชนิดนี้ เนื่องจากโรคอีสุกอีใสเป็นโรคที่ติดต่อง่ายและมีอาการรุนแรงในผู้ใหญ่ โดยแนะนำให้ตรวจภูมิคุ้มกันก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากการศึกษาในประชากรไทยพบว่ากว่า 80% ของผู้ใหญ่ที่อายุ 20 ปีขึ้นไปมีภูมิคุ้มกันต่อโรคอีสุกอีใสแล้วถึงแม้จะไม่แน่ใจว่ามีประวัติการติดเชื้อมาก่อนหรือไม่

7.วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ (hepatitis A)

ในอดีตพบว่า 90% ของผู้ใหญ่ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไปมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติซึ่งเกิดการติดเชื้อตามธรรมชาติแล้ว แต่ปัจจุบันสุขอนามัยของประชากรดีขึ้น ทำให้การติดเชื้อตามธรรมชาติน้อยลงจึงพบภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบเอในผู้ใหญ่น้อยลงด้วย โดยพบว่า 90% ของผู้ใหญ่อายุ 50 ปีขึ้นไปมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบเอ ดังนั้นในผู้ใหญ่ที่อายุน้อยกว่า 50 จะยังมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอได้

โดยแนะนำให้ผู้ใหญ่กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงควรได้รับวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ เช่น กลุ่มชายรักชาย ผู้ที่จะเดินทางไปประเทศที่มีความชุกของโรคสูง หรือในผู้ที่ติดเชื้อแล้วมีโอกาสแพร่กระจายเชื้อได้ง่าย เช่น ผู้ที่ทำอาชีพประกอบอาหาร หรือกลุ่มที่มีโรคไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี ตับแข็ง หรือตับอักเสบเรื้อรังอยู่เดิมซึ่งมีโอกาสติดเชื้อรุนแรงได้ โดยแนะนำให้ตรวจภูมิคุ้มกันก่อนฉีด

วัคซีนที่แนะนำสำหรับผู้สูงอายุ

เมื่ออายุมากขึ้น ภูมิต้านทานโรคตามธรรมชาติในร่างกายจะเริ่มลดลง ข้อแนะนำสำหรับวัคซีนผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ได้แก่

1. วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอคคัส (PCV 13, PPSV 23)

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอคคัสสามารถป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัสซึ่งเป็นแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุหลักของปอดอักเสบ ซึ่งติดต่อทางละอองไอหรือจามของผู้ที่ติดเชื้อ

ผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องจะมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อและเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้มากกว่าคนทั่วไป โดยภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวได้แก่ เยื่อหุ้มปอดอักเสบ ติดเชื้อในกระแสเลือดและอาจทำให้เสียชีวิตได้

แนะนำให้ฉีดวัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอคคัสในผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่อายุ 19-64 ปีที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ ตับแข็ง ปอดเรื้อรัง ไตวาย สูบบุหรี่เรื้อรัง หรือมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง

2. วัคซีนงูสวัด (herpes zoster)

เชื้อที่ทำให้เกิดโรคงูสวัดคือเชื้อชนิดเดียวกับโรคอีสุกอีใส หากติดเชื้ออีสุกอีใสมาก่อนเชื้อจะแฝงอยู่ในปมประสาท เมื่ออายุมากขึ้น ร่วมกับภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำลง เชื้อที่แฝงอยู่ก็จะทำให้เกิดโรคงูสวัดขึ้นซึ่งอาการจะมีผื่นลักษณะเป็นตุ่มน้ำตามแนวเส้นประสาทและปวดแสบร้อน

ความเสี่ยงของงูสวัดจะเพิ่มขึ้นเมื่อมีอายุ 50 ปีขึ้นไป และจะเพิ่มขึ้นชัดเจนเมื่ออายุมากกว่า 60 ปีและมีโอกาสเกิดอาการปวดปลายประสาท (post herpetic neuralgia) ได้มากถึง 20%

อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันคอตีบและบาดทะยักทุก 10 ปี และควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี เพราะในวัยผู้สูงอายุ ภูมิต้านทานโรคอาจน้อยลง หากเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ขึ้นมาก็มีโอกาสที่จะมีอาการของโรครุนแรงมากขึ้น

อีกชนิดหนึ่งคือ วัคซีนป้องกันเชื้อนิวโมคอคคัส (IPD) ซึ่งเป็นกลุ่มเชื้อแบคทีเรียซึ่งมีจำนวนหลายสายพันธุ์ ที่ก่อโรคปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และติดเชื้อในกระแสเลือด ถ้าโรคนี้เกิดขึ้นในผู้สูงอายุแล้วเป็นชนิดที่รุนแรงก็จะทำให้เสียชีวิตได้ ปัจจุบันมีข้อแนะนำให้ฉีดวัคซีนนี้ในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป โดยแนะนำให้รับวัคซีน IPD ทั้งชนิด 13 และ 23 สายพันธุ์ เพียงชนิดละ 1 ครั้ง

คำแนะนำในการฉีดวัคซีนต่างๆ ในปัจจุบันนี้ อาศัยข้อมูลจากในอดีตเป็นบทเรียน ว่าในสมัยก่อนเราต้องเจอกับโรคติดเชื้อร้ายแรงอะไรมาบ้าง มีอันตรายกับประชากรมากน้อยแค่ไหน กลุ่มแพทย์และกลุ่มนักวิจัยที่เกี่ยวข้องได้ช่วยกันทำงาน คิดค้น วิจัย และพัฒนาวัคซีนออกมาใช้ เพื่อประโยชน์ในการลดความสูญเสียจากกลุ่มโรคติดเชื้อต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันการพัฒนาเรื่องวัคซีนเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อร้ายแรงต่างๆก็ยังไม่หยุด

โดยในปี 2559 นี้ มีโอกาสที่จะมีการนำวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกมาใช้ในกลุ่มประชากรในประเทศที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อไข้เลือดออก ซึ่งรวมถึงในประเทศไทยด้วย เราจึงควรติดตามข้อมูลข่าวสารและหาโอกาสรับวัคซีนที่จำเป็นตามคำแนะนำ เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายติดเชื้อต่างๆที่มีความสำคัญ หรือจะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาหากต้องเป็นโรคเหล่านั้นขึ้นมาจริงๆ

คำแนะนำการฉีดวัคซีนตามกลุ่มอายุ

อายุ 15-26 ปี

  • วัคซีนบาดทะยัก คอตีบ ไอกรน
  • วัคซีนไข้หวัดใหญ่
  • วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ
  • วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี
  • วัคซีนมะเร็งปากมดลูก
  • วัคซีนหัด หัดเยอรมัน คางทูม
  • วัคซีนอีสุกอีใส

อายุ 27-59 ปี

  • วัคซีนบาดทะยัก คอตีบ ไอกรน
  • วัคซีนไข้หวัดใหญ่
  • วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี
  • วัคซีนหัด หัดเยอรมัน คางทูม (อายุ ≤ 40 ปี )
  • วัคซีนอีสุกอีใส
  • วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ 
  • วัคซีนมะเร็งปากมดลูก (อายุ 27-45 ปี ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด)

อายุ 60 ปีขึ้นไป

  • วัคซีนบาดทะยัก คอตีบ ไอกรน
  • วัคซีนไข้หวัดใหญ่
  • วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอคคัส
  • วัคซีนงูสวัด

 

อ้างอิง: โรงพยาบาลบางปะกอก 9 ,โรงพยาบาลสมิติเวช  ,โรงพยาบาลพระรามเก้า