ป้องกัน RSV : ทารกต่ำกว่า 8 เดือน ต้องฉีดวัคซีนก่อนหน้าฝน

ป้องกัน RSV : ทารกต่ำกว่า 8 เดือน ต้องฉีดวัคซีนก่อนหน้าฝน

ร่างกายต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และหนึ่งในโรคสำคัญที่มีโอกาสติดเชื้อ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก คือ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัส RSV

KEY

POINTS

  • ไวรัส RSV เป็นสาเหตุของการติดเชื้อทางเดินหายใจทั้งส่วนบนและส่วนล่าง สามารถเกิดการติดเชื้อได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ส่วนมากมักเกิดในเด็กเล็ก ๆ ที่อายุต่ำกว่า 3 ปี
  • อาการเชื้อไวรัส RSV อาจแยกไม่ได้จากไวรัสระบบทางเดินหายใจตัวอื่นๆ แต่มักรุนแรงกว่า แพทย์จะสงสัยโรคนี้ในเด็กเล็กที่มีอาการหลอดลมฝอยอักเสบ โดยเฉพาะในช่วงฤดูที่มีการระบาด
  • เด็กทารกต่ำกว่า 8 เดือน และเด็กเล็กจำเป็นต้องฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV เพื่อลดโอกาสติดเชื้อ ลดความเสี่ยงนอนโรงพยาบาล และลดความรุนแรงของโรค 

อีกหนึ่งก้าวสำคัญในประวัติศาสตร์การต่อสู้กับ โรคติดเชื้อ RSV เมื่อทารกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย ได้รับการป้องกันโรคติดเชื้อ RSV ด้วยภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปสำหรับทารกทุกคน เหตุการณ์นี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการป้องกันโรคติดเชื้อ RSV  ซึ่งเป็นภาระสำคัญต่อสุขภาพทารกทั่วทั้งภูมิภาค

โรคติดเชื้อ RSV เป็นสาเหตุหลักของการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างเฉียบพลันในเด็กทั่วโลก ส่งผลให้มีการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลกว่า 3.6 ล้านครั้งและมีผู้เสียชีวิต 160,000 รายต่อปีในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยร้อยละ 90 ของทารกและเด็กเล็กจะติดเชื้อไวรัส RSV ภายใน 2 ปีแรก

แม้ว่าโรคติดเชื้อ RSV เกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย แต่ทารกทุกคนที่อายุต่ำกว่าหนึ่งปี ไม่ว่าจะเกิดก่อนกำหนดหรือเกิดครบกำหนดและมีสุขภาพดี จะมีความเสี่ยงสูงสุดต่อการติดเชื้อ RSV ที่รุนแรง ซึ่งต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ภาระโรคนั้นรุนแรงมาก เนื่องจากโรคติดเชื้อ RSV ไม่มียารักษาโดยตรง ทำได้แต่เพียงการรักษาประคับประคองตามอาการ การให้ความรู้และการป้องกันโรคติดเชื้อ RSV จึงมีบทบาทสําคัญมาก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

เซฟตัวเอง! วัยรุ่นไทยท้องลด แต่ติดโรคพุ่ง เช็ก 5 โรคทางเพศยอดฮิต

เบื่อชีวิตติดเตียง? 'พฤติกรรมเนือยนิ่ง' ไม่ดี...เสี่ยงมะเร็ง

ฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปแก่ทารกต่ำกว่า 8เดือน ป้องกัน RSV

ศ.นพ. สมศักดิ์ โล่ห์เลขา อดีตประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย (RCPedT) ได้ออกแนวทางปฏิบัติทางคลินิกในการใช้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป Nirsevimab (เนอร์ซีวิแมบ) เพื่อลดความรุนแรงจากการติดเชื้อ RSV โดยทารกที่มีสุขภาพดีทุกคนที่อายุต่ำกว่า 8 เดือน และอาจพิจารณาให้แก่ทารกที่มีสุขภาพดีที่มีอายุ 8-12 เดือน ควรรับภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป Nirsevimab (เนอร์ซีวิแมบ) เพียงครั้งเดียวก่อนฤดูการระบาดหนักในช่วงหน้าฝน เดือนมิถุนายน-ตุลาคม

การสร้างเสริมภูมิต้านทานด้วยภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปนี้ เป็นเสมือนเกราะปราการเพื่อลดอัตราการเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลและการเสียชีวิต ถือว่าเป็นความหวังสำหรับอนาคตที่มีสุขภาพดีขึ้นสำหรับทารกในภูมิภาคนี้ โดยรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นทารกคนแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดียได้รับป้องกันโรคติดเชื้ออาร์เอสวีด้วยภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปสำหรับทารกทุกคน ถือเป็นก้าวสำคัญในความพยายามปกป้องสมาชิกที่เปราะบางที่สุดของสังคม โรคติดเชื้ออาร์เอสวีถือเป็นความท้าทายด้านสุขภาพที่สำคัญมาเป็นเวลานาน การป้องกันในครั้งนี้ ถือเป็นยุคใหม่ในการปกป้องสุขภาพของเด็กๆ

"ก่อนจะถึงฤดูการระบาดของ RSV ที่กำลังจะเริ่มขึ้นในเดือนมิถุนายน พ่อแม่ผู้ปกครองควรรีบปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อขอรับคำแนะนำในการป้องกันทารกและเด็กเล็กจากโรคติดเชื้ออาร์เอสวีเพื่อลดความเสี่ยงจากอาการแทรกซ้อนรุนแรงและการเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล"

รู้จัก ไวรัส RSV คืออะไร ติดเชื้ออย่างไร

ไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) คือ เชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อทางเดินหายใจทั้งส่วนบนและส่วนล่าง สามารถเกิดการติดเชื้อได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ส่วนมากมักเกิดในเด็กเล็ก ๆ ที่อายุต่ำกว่า 3 ปี สำหรับประเทศไทยอาจพบการระบาดได้บ่อยในช่วงฤดูฝนหรือช่วงปลายฝนต้นหนาว

เชื้อไวรัส RSV สามารถติดต่อผ่านสารคัดหลั่งต่าง ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะการติดต่อจากการสัมผัส เช่น

  • น้ำมูก
  • น้ำลาย
  • ละอองจากการไอ
  • จาม

เช็กอาการลูกน้อย ติดเชื้อไวรัส RSV 

หากเด็กได้รับเชื้อ RSV ระยะฟักตัวของโรคจะอยู่ที่ประมาณ 5 วัน โดยในช่วง 2 – 4 วันแรกมักมีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา เช่น

  • ไข้
  • ไอ
  • จาม
  • น้ำมูกไหล

เมื่อการดำเนินโรคมีมากขึ้นส่งผลให้ทางเดินหายใจส่วนล่างมีการอักเสบส่งผลให้เป็น

  • โรคหลอดลมอักเสบ
  • กล่องเสียงอักเสบ
  • โรคปอดบวมหรือปอดอักเสบ

วิธีสังเกตอาการว่าติดเชื้อไวรัส RSV

เนื่องจากอาการของโรคจากเชื้อไวรัส RSV อาจแยกไม่ได้จากไวรัสระบบทางเดินหายใจตัวอื่นๆ แต่มักรุนแรงกว่า แพทย์จะสงสัยโรคนี้ในเด็กเล็กที่มีอาการหลอดลมฝอยอักเสบ โดยเฉพาะในช่วงฤดูที่มีการระบาด

แต่การวินิจฉัยให้รู้แน่ต้องใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการ การตรวจเพื่อให้รู้เชื้อไม่มีความจำเป็นในผู้ที่อาการไม่หนัก เพราะการรักษาไม่แตกต่างจากไวรัสระบบทางเดินหายใจตัวอื่นๆ

แพทย์มักจะตรวจหาเชื้อโดยการป้ายโพรงจมูกไปตรวจในกรณีที่มีอาการหนัก นอกจากนี้อาจจะต้องมีการเอกซเรย์ปอด หากสงสัยว่าการติดเชื้อนั้นลุกลามจนเกิดภาวะปอดอักเสบ

อาการติดเชื้อไวรัส RSV ที่ต้องพบแพทย์ทันที

ในเด็กที่ได้รับเชื้อ RSV บางคนเกิดอาการรุนแรง มีโอกาสเสียชีวิตสูง เนื่องจากระบบทางเดินหายใจล้มเหลว ควรรีบพบแพทย์ทันทีหากมีอาการต่อไปนี้

  • ไข้สูงมากกว่า 39 องศาเซลเซียส
  • ไอจนอาเจียน ไอแรง
  • หอบเหนื่อย
  • หายใจเร็วหอบจนชายโครงหรืออกบุ๋ม
  • หายใจออกลำบากหรือหายใจมีเสียงวี้ด (Wheezing)
  • หายใจมีเสียงครืดคราด
  • มีเสมหะในลำคอมาก ๆ
  • รับประทานอาหารหรือนมได้น้อย
  • ซึมลง ปากซีดเขียว

รักษาโรคติดเชื้อไวรัส RSV ได้อย่างไร

นพ. พรเทพ สวนดอก กุมารเวชศาสตร์โรคติดเชื้อ  โรงพยาบาลกรุงเทพ อธิบายว่า ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคติดเชื้อไวรัส RSV โดยตรง แต่ใช้วิธีรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาลดไข้ แก้ไอละลายเสมหะ ในเด็กบางรายที่มีเสมหะเหนียวมาก ต้องทำการพ่นยาขยายหลอดลมผ่านทางออกซิเจนละอองฝอย เคาะปอด และดูดเสมหะออกเพื่อช่วยลดความรุนแรงของอาการไอและอาการหายใจหอบเหนื่อยได้

"โรคติดเชื้อไวรัส RSV ใช้เวลาในการฟื้นไข้ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ ไวรัสชนิดนี้ทำให้เกิดอาการได้ตั้งแต่ไข้หวัดธรรมดา รวมถึงอาการรุนแรงเป็นปอดบวม ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิตเจ้าตัวเล็กได้ และเชื้อไวรัสนี้มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีกหากร่างกายอ่อนแอจึงต้องระวังและป้องกันให้ดี"

ทั้งนี้ ผู้ป่วยเด็กเล็ก ผู้ที่มีโรคอื่นๆร่วม และผู้สูงอายุจัดว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจจะมีอาการรุนแรงได้ มักจะมีอาการไข้สูง ซึมลง มีภาวะหายใจหอบเหนื่อยหรือภาวะการขาดน้ำ แนะนำให้พามาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล การรักษาในโรงพยาบาลจะเน้นรักษาตามอาการ เช่น มีการให้ออกซิเจนในรายที่มีอาการหอบเหนื่อย การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำในรายที่มีภาวะการขาดน้ำและอาจมีการพ่นยาขยายหลอดลม เป็นต้น

ป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส RSV ได้อย่างไร

  • หมั่นล้างมือตัวเองและลูกน้อยบ่อย ๆ ช่วยลดเชื้อที่ติดมากับมือทุกชนิดได้ถึงร้อยละ 70
  • รับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะครบ 5 หมู่
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  • ออกกำลังกายในอากาศที่ถ่ายเทสะดวก
  • ไม่อยู่ในห้องแอร์ตลอดเวลาเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง

ผู้ใหญ่ที่ติดเชื้อโรคนี้มักมีอาการไม่รุนแรง คล้ายหวัดเจ็บคอหรืออาจไม่มีอาการ เพราะมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงมากพอ แต่เป็นพาหะนำโรคนี้ไปสู่เด็กและคนอื่น ๆ หากเข้าไปสัมผัส จับมือ หอมแก้ม โดยไม่ได้ทำความสะอาดร่างกายหรือล้างมือก่อนสัมผัส เมื่อโดนตัวเด็กหรือสัมผัสโดนปากหรือจมูกก็ทำให้เกิดการติดเชื้อได้ ผู้ใหญ่จึงควรระวังอย่าแพร่เชื้อให้เด็กเล็กโดยไม่รู้ตัว

ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV คืออะไร

ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV (Nirsevimab) คือ สารภูมิคุ้มกัน (Antibody) ต่อเชื้อไวรัส RSV แบบสำเร็จรูปที่พร้อมฉีดเข้าสู่ร่างกายเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจส่วนล่างที่รุนแรงจากการติดเชื้อไวรัส RSV ได้อย่างรวดเร็ว เหมาะกับเด็กเล็กที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

ฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV ได้อย่างไร

การฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV (Nirsevimab) แบ่งออกเป็นฤดูกาลแรกและฤดูกาลที่สอง ได้แก่

ฤดูกาลแรก

  • คุณแม่ที่ไม่ได้รับวัคซีน RSV หรือทารกเกิดใน 14 วันหลังจากคุณแม่ได้รับวัคซีน RSV
  • ฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV (Nirsevimab) ในทารกแรกเกิด – 12 เดือนที่แข็งแรงดี
  • ฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV (Nirsevimab) ในทารกอายุน้อยกว่า 12 เดือนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเป็นโรคติดเชื้อไวรัส RSV รุนแรง ได้แก่
  • เด็กที่มีโรคปอดเรื้อรังจากภาวะคลอดก่อนกำหนด (BPD) ที่ยังต้องรักษาด้วยยาสเตียรอยด์ ยาขับปัสสาวะ หรือมีการใช้ออกซิเจนในช่วง 6 เดือนก่อนเข้าสู่ฤดูกาลระบาด
  • เด็กที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง
  • เด็กที่มีโรค Cystic Fibrosis (CF) โรคทางพันธุกรรมที่ก่อให้เกิดโรคที่ระบบทางเดินหายใจ ปอดและระบบทางเดินอาหารรุนแรง
  • เด็กที่มีโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดและยังคงได้รับการรักษาอยู่ (Hemodynamically Significant Congenital Heart Disease)

คำแนะนำ:

  • ควรฉีดป้องกันช่วงฤดูกาลระบาดของ RSV ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงตุลาคมของทุกปี
  • ทารกที่เกิดในช่วงฤดูกาลระบาดสามารถฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV หลังคลอดได้ทันที

ปริมาณการฉีดที่แนะนำ คือ

  • ทารกน้ำหนักน้อยกว่า 5 กิโลกรัม ใช้ขนาด 50 มิลลิกรัม 1 เข็ม ฉีดเข้ากล้ามเนื้อครั้งเดียว
  • ทารกน้ำหนักมากกว่า 5 กิโลกรัม ใช้ขนาด 100 มิลลิกรัม 1 เข็ม ฉีดเข้ากล้ามเนื้อครั้งเดียว

ฤดูกาลที่สอง

  • ฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV (Nirsevimab) ในเด็กอายุ 12 – 24 เดือนที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคติดเชื้อ RSV รุนแรง

คำแนะนำ:

  • ปริมาณการฉีดที่แนะนำสำหรับเด็กอายุ 12 – 24 เดือนที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคติดเชื้อ RSV รุนแรง ฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV (Nirsevimab) ปริมาณ 200 มิลลิกรัม (ใช้แบบเข็มละ 100 มิลลิกรัม แบ่งฉีดกล้ามเนื้อ 2 ตำแหน่งในวันเดียวกัน)

ข้อควรระวังในการฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV

  • หากเด็กเจ็บป่วยต้องเลื่อนการฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV (Nirsevimab) ออกไปจนกว่าจะหายดี
  • เด็กที่ติดเชื้อไวรัส RSV ในฤดูกาลนั้นแล้ว ไม่แนะนำให้ฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV (Nirsevimab)
  • การฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV (Nirsevimab) ให้ร่วมกับวัคซีนตามวัยได้ ไม่ต้องเว้นระยะห่างกับวัคซีนทุกชนิด
  • การฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV ฉีดร่วมกับวัคซีนอื่น ๆ ได้ในวันเดียวกัน โดยฉีดคนละตำแหน่ง
  • การฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV (Nirsevimab) ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวและอายุของเด็ก ก่อนฉีดต้องปรึกษากุมารแพทย์ทุกครั้ง
  • ผลข้างเคียงจากการฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV(Nirsevimab) มีเพียงเล็กน้อย เช่น มีไข้ ปวดบวมบริเวณที่ฉีด ผื่น อาเจียน เป็นต้น

ข้อดีของภูมิคุ้มกันสําเร็จรูป RSV (Nirsevimab)

  • ลดโอกาสติดเชื้อไวรัส RSV ได้ถึง 79.5%
  • ลดความเสี่ยงนอนโรงพยาบาลจากการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างที่เกิดจากเชื้อไวรัส RSV ได้ถึง 83.2%
  • ลดความรุนแรงและลดโอกาสจากการรักษาตัวในไอซียูได้ 75.3%
  • ภูมิคุ้มกันสําเร็จรูป RSV (Nirsevimab) จะคงอยู่นานถึง 5 เดือน ครอบคลุมช่วงเวลาที่ระบาด

"สำหรับคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองที่ลูกติดเชื้อไวรัส RSV ควรแยกเด็กออกจากเด็กปกติ ไม่ไปอยู่ในสถานที่แออัด ดูแลทำความสะอาดของใช้ส่วนตัวและแยกไว้ต่างหากเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ หากลูกเข้าเรียนในเนิร์สเซอร์รีหรือโรงเรียนอนุบาลแล้วป่วยควรให้หยุดเรียนจนกว่าอาการจะหายเป็นปกติเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ ทั้งนี้ควรป้องกันเจ้าตัวเล็กจากโรคติดเชื้อไวรัส RSV ด้วยการฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV ที่ป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ"

อ้างอิง: ศูนย์กุมารเวช โรงพยาบาลกรุงเทพ ,โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์