เซฟตัวเอง! วัยรุ่นไทยท้องลด แต่ติดโรคพุ่ง เช็ก 5 โรคทางเพศยอดฮิต

เซฟตัวเอง! วัยรุ่นไทยท้องลด แต่ติดโรคพุ่ง เช็ก 5 โรคทางเพศยอดฮิต

แม้สถิติ "คุณแม่วัยใส" หรือการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น มีสถานการณ์ที่ดีขึ้น มีจำนวนคุณแม่วัยใสลดน้อยลง แต่กลับพบปัญหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น

KEY

POINTS

  • 5 โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ยอดฮิตในกลุ่มวัยรุ่น ได้แก่ ซิฟิลิส หนองใน หนองในเทียม  แผลริมอ่อน และฝีมะม่วง
  • รวมถึงควรระวังโรค HPV เริม HIV และไวรัสตับอักเสบบี  โดยเฉพาะคนที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือมีคู่นอนหลายคน ไม่ใส่ถุงยางเวลามีเพศสัมพันธ์ และเคยมีประวัติเป็นโรคติดต่อทางเพศ
  • วิธีการป้องกัน คือ การมีคู่นอนคนเดียวและคู่นอนไม่ป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ควรใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธีและทุกครั้ง รวมถึงตรวจคัดกรองโรค และฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี

ปัจจุบันปัญหา "คุณแม่วัยใส" เริ่มบรรเทาเบาบางลงไปแล้ว เมื่อ วัยรุ่นไทยมีความรู้ความเข้าใจในการป้องกันไม่ให้เกิดการตั้งครรภ์โดยไม่พร้อมมากขึ้น แต่ขณะเดียวกัน กลับพบ ปัญหาเรื่องของ ‘โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์’ ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ

ล่าสุด การแพร่ระบาดของโรคซิฟิลิส โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นใน จ.มหาสารคาม สืบเนื่องจากโพสต์ข้อความของนักเทคนิคการแพทย์คนหนึ่งผ่านเฟซบุ๊กของเธอเมื่อ 25 พ.ค. ว่า พบผลตรวจผู้ป่วยติดเชื้อซิฟิลิสถึง 3 คน ในวันเดียว และ 1 ในนั้นมีเชื้อเอชไอวี (HIV) ร่วมด้วย

ตามที่ สาธารณสุขจังหวัดมหาสารคาม ออกมา "เตือนภัย" หลังพบผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในจังหวัด ในปี 2568 มีรวม 443 รายแล้ว โดยพบ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี 136 ราย โรคหนองใน 102 ราย โรคซิฟิลิส 85 ราย ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี 95 ราย และโรคหูด 25 ราย

ข้อมูลจากกองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา อัตราการติดเชื้อซิฟิลิสและโรคทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ทั่วประเทศพุ่งสูงขึ้น

ศูนย์รวมข้อมูลสารสนเทศ ด้านเอชไอวี โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และโรคไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี ของประเทศไทย หรือ HIV Info Hub ฉายภาพในทิศทางเดียวกับโรคซิฟิลิส เมื่อพิจารณาอัตราผู้ติดเชื้อซิฟิลิสต่อประชากรแสนคนจากปีงบประมาณ 2565 กับปี 2567 เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าตัว

  • ในปีงบประมาณ 2565 ประเทศไทยมีจำนวนผู้ป่วยซิฟิลิส 12,296 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 18.6 ต่อแสนประชากร
  • ในปีงบประมาณ 2566 จำนวนผู้ป่วยซิฟิลิสเพิ่มขึ้นเป็น 18,599 ราย คิดเป็นอัตรา 28.1 ต่อแสนประชากร
  • ในปีงบประมาณ 2567 จำนวนผู้ป่วยเพิ่มเป็น 25,469 คน คิดเป็นอัตรา 38.5 ต่อแสนประชากร

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

เปิดวาร์ปความจริง! เลิกเข้าใจผิดเกี่ยวกับ 'โรคเอดส์ กับHIV'

น่าห่วง! วัยรุ่นติดโรคทางเพศพุ่ง 13% - หลายรายติดเชื้อซิฟิลิสซ้ำ

การแพร่ระบาดโรคซิฟิลิสในกลุ่มอายุ 15-24 ปี 

จากข้อมูลของปี 2567 จังหวัดที่พบการแพร่ระบาดมากที่สุดคือ กรุงเทพมหานคร รองลงมาคือ ชลบุรี นครราชสีมา บุรีรัมย์ และอุดรธานี ตามลำดับ

ทั้งนี้ ตามที่บีบีซีไทย ได้รายงานถึงการตรวจสอบฐานข้อมูลของ HIV Info Hub ซึ่งมีการรวบรวมข้อมูลการแพร่ระบาดของซิฟิลิสในกลุ่มอายุ 15 – 24 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2552 – 2566 พบว่าในรอบ 15 ปีนี้ อัตราการติดเชื้อในกลุ่มช่วงวัยดังกล่าวพุ่งสูงขึ้นหลายเท่าตัว จาก 4 ต่อแสนประชากร ในปี 2552 เป็น 91.2 ต่อแสนประชากรในปี 2566

โดยอัตราการป่วย พุ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในรอบหลายปีให้หลัง อาทิ

  • ปีงบประมาณ 2559 อัตราป่วย 13.7 ต่อแสนประชากร
  • ปีงบประมาณ 2561 อัตราป่วย 27.9 ต่อแสนประชากร
  • ปีงบประมาณ 2563 อัตราป่วย 50.4 ต่อแสนประชากร
  • ปีงบประมาณ 2565 อัตราป่วย 59 ต่อแสนประชากร
  • ปีงบประมาณ 2566 อัตราป่วย 91.2 ต่อแสนประชากร

วัยรุ่นระวัง! 5 โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ยอดฮิต

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คืออะไร ?

  • คือกลุ่มโรคที่เกิดจากการติดต่อผ่านทางเพศสัมพันธ์กับคนที่เป็นโรคหรือคนที่ติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมเพศทางช่องคลอด ทางปาก หรือทางทวารหนัก เดิมมีชื่อว่า “กามโรค” (venereal diseases) ในปัจจุบันมีการค้นพบโรคในกลุ่มดังกล่าวเพิ่มขึ้นจึงเปลี่ยนชื่อเป็น “โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์” (sexually transmitted infections, STIs) โรคที่สำคัญคือ ซิฟิลิส หนองในแท้ หนองในเทียม เริม และเอชพีวี

รู้จัก 5 โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ยอดฮิต ที่วัยรุ่นไทยเป็นกันมาก มีดังนี้ 

1.ซิฟิลิส (Syphilis)  

เป็นโรคอันตรายและเรื้อรัง สามารถ เป็นติดต่อยาวนานกว่า 2 ปี เริ่มแรกจะเป็น ก้อนแข็ง แต่ไม่เจ็บที่บริเวณอวัยวะเพศ หาก ไม่รักษาจะกลายเป็นระยะที่สองที่เรียกว่า เข้า ข้อหรือออกดอก ถ้าทิ้งไว้นานจะทำให้เกิดโรค ในระบบอวัยวะต่างๆ ของร่างกายหลายระบบ ทั้งซิฟิลิสระบบหัวใจและหลอดเลือด ซิฟิลิส ระบบประสาท ที่สำคัญคือมารดาที่เป็นโรค ซิฟิลิสจะถ่ายทอดเชื้อโรคสู่ทารกในครรภ์ได้

2.หนองใน (Gonorrhea)

เกิดจากเชื้อแบคทีเรียทำให้เกิดอาการระคายเคือง แสบขัดเวลาปัสสาวะ และมีหนองไหลออกจากท่อปัสสาวะ อาจจะทำให้เกิดการอักเสบในช่องท้อง หรือเป็นหมันหากไม่ได้รับการรักษา

3.หนองในเทียม (Chlamydia)

ทำให้มีอาการแสบปลายท่อปัสสาวะ ปัสสาวะขัดและมีหนองไหล และมีมูกออกเล็กน้อยโดยเฉพาะในช่วงเช้า ส่วนผู้หญิงอาจมีอาการตกขาวผิดปกติ

4.แผลริมอ่อน (Chancroid)

ทำให้เกิดแผลที่อวัยวะเพศ บวม และเจ็บ บางคนมีต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบหรือที่ชาวบ้านเรียกไข่ดันบวม หากไม่รักษาหนองจะแตกออกจากต่อมน้ำเหลือง มักมีหลายแผล ขอบแผลนุ่มและไม่เรียบ ก้นแผลสกปรกมีหนอง มีเลือดออกง่าย เวลาสัมผัสเจ็บปวดมาก

5.ฝีมะม่วง (Lymphogranuloma venereum – LGV)

มีแผลที่อวัยวะเพศ ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต มีหนองไหลออกมา นอกจากนี้ยัง มีอาการท่อปัสสาวะอักเสบ และอาจมีหนอง และเลือดออกมาจากรูทวาร เมื่อปวดเบ่ง อุจจาระ

นอกจากนั้นยังมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่ทั้งวัยรุ่นและผู้ใหญ่สามารถเป็นได้มาก หากไม่ ไม่ป้องกัน อาทิ

  • HPV (เอชพีวี)

เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เราคุ้นหูกันดีในผู้หญิง เพราะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ก่อมะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอดในผู้หญิง มะเร็งอวัยวะเพศ มะเร็งทวารหนัก หรือมะเร็งช่องปากในผู้ชาย รวมถึงยังเป็นเชื้อที่ทำให้เกิดหูดหงอนไก่ตามบริเวณอวัยวะเพศทั้งภายนอกและภายใน รวมบริเวณใกล้เคียงต่างๆ อย่างขาหนีบ หรือทวารหนักได้อีกด้วย

เกิดจากเชื้อ: ไวรัส Human papilloma virus ที่มีระยะฟักตัวตั้งแต่ 3 เดือน ไปจนถึงหลายปี

ลักษณะอาการ: สำหรับคนที่มีร่างกายแข็งแรงและภูมิต้านทานสูง เมื่อได้รับเชื้อไวรัสมักไม่แสดงอาการใดๆ ให้เห็น แต่โดยส่วนมาก HPV มักแสดงรอยโรคออกมาได้ 2 ลักษณะ คืออาการของหูดหงอนไก่ที่จะมีลักษณะติ่งเนื้อคล้ายดอกกะหล่ำปลีขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนักและง่ามขา และอาการของโรคมะเร็งบริเวณอวัยวะเพศ เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งอวัยวะเพศชาย มะเร็งทวารหนัก หรือมะเร็งช่องปาก

แนวทางการป้องกันและรักษา: ในปัจจุบันการฉีดวัคซีน HPV เป็นแนวทางป้องกันการติดเชื้อ HPVได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด และหากติดเชื้อ HPV การรักษาการติดเชื้อ HPV จะแตกต่างกันไปตามโรคที่เกิด

  • เริม

เริมเป็นโรคติดต่อทางผิวหนังชนิดหนึ่งที่ชื่นชอบผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ และเป็นโรคที่เมื่อได้รับเชื้อมาแล้วจะใช้เวลาในการฟักตัวสักพักถึงจะแสดงอาการ เมื่อหายดีแล้วเชื้อชนิดนี้ก็มักจะแอบซ่อนอยู่ในปมประสาทใต้ผิวหนังของเรา และพร้อมแสดงอาการได้ทุกเมื่อที่ร่างกายอ่อนแอ หรือพักผ่อนน้อย

เกิดจากเชื้อ: ไวรัส Herpes simplex virus (HSV) มีระยะฟักตัวครั้งแรกประมาณ 2-20 วัน ซึ่งมีอยู่ 2 ชนิด คือ HSV Type 1 ไม่ใช่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และ HSV Type 2 ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ลักษณะอาการ: อาการของโรคเริมที่ติดต่อผ่านทางเพศสัมพันธ์นั้นมักเริ่มจากการมีแผลบวมแดง มีตุ่มพองใสๆ ขึ้นบริเวณที่ได้รับเชื้อ เช่น อวัยวะเพศ ง่ามขา หรือปาก ซึ่งบางคนอาจมีอาการคันร่วมด้วย หลังจากนั้นตุ่มพองใสจะแตก และทำให้มีอาการเจ็บ ปวดแสบปวดร้อน ก่อนจะค่อยๆ แห้งตกสะเก็ดประมาณ 2-6 สัปดาห์ บางคนอาจมีไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ หรือต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้ผิวหนังที่ติดเชื้อโตได้

แนวทางการรักษา: เริมสามารถรักษาได้ด้วยยาต้านไวรัสทั้งชนิดรับประทานและชนิดทา แต่หากอาการไม่รุนแรงสามารถรักษาตามอาการและหายเองได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งยา โดยการรักษาความสะอาดบริเวณผิวที่เป็นตุ่มพองด้วยสำลีชุบน้ำสะอาด หรือน้ำเกลือ หากมีไข้ให้รับประทานยาพาราเซตามอล ร่วมกับพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อฟื้นฟูภูมิต้านทานให้กลับมาแข็งแรง

  • HIV

เอชไอวี หรือ HIV ย่อมาจาก Human Immunodeficiency Virus เป็นเชื้อที่สามารถติดกันได้ผ่านทางสารคัดหลั่งต่างๆ  เช่น เลือด น้ำเหลือง น้ำอสุจิ สารคัดหลั่งจากช่องคลอด หรือน้ำนม เป็นต้น โดยเชื้อจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ก่อให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ (AIDS) ซึ่งผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี ไม่จำเป็นต้องเป็นโรคเอดส์เสมอไป เพียงแต่หากติดเชื้อเอชไอวีแล้วเชื้อจะอยู่ในร่างกายตลอดไป อีกทั้งเชื้อเอชไอวีนี้สามารถติดต่อผ่านแม่สู่ลูกได้ในระหว่างการคลอด หรืออาจได้รับเชื้อจากน้ำนมแม่ด้วยเช่น 

เกิดจากเชื้อ: ไวรัส Human Immunodeficiency Virus โดยทั่วไปผู้ติดเชื้อ HIV มักไม่แสดงอาการให้เห็นชัดเจน แต่สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่ 7 วันขึ้นไป ตามเทคนิคการตรวจเพาะเชื้อด้วยวิธีต่างๆ 

ลักษณะอาการ: ในระยะแรกผู้ติดเชื้อมักไม่แสดงอาการใดๆ แต่เมื่อภูมิคุ้มกันลดต่ำ ร่างกายอ่อนแอ ทำให้มีโอกาสติดเชื้อโรคฉวยโอกาสได้ง่าย เช่น วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ รวมถึงมะเร็งชนิดต่างๆ และหากผู้ที่ติดเชื้อ HIV มีภูมิคุ้มกันโรคต่ำลงจนกระทั่งภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือเจ็บป่วยด้วยโรคติดเชื้อฉวยโอกาส เราถึงจะเรียกผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV ลักษณะนี้ว่า “ผู้ป่วยเอดส์”

แนวทางการรักษา: แม้ปัจจุบันจะยังไม่มีวิธีการรักษาผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีให้หายขาดได้ แต่ก็มียาต้านไวรัส ที่หากผู้ติดเชื้อได้รับประทานตั้งแต่เนิ่นๆ และมีวินัยในการรับประทานอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ก็จะทำให้มีสุขภาพแข็งแรง เหมือนคนปกติทั่วไป และช่วยลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อไปหาผู้อื่นอีกด้วย

  •  ไวรัสตับอักเสบบี

โรคไวรัสตับอักเสบบีเป็นอีกโรคหนึ่งที่เราได้ยินคุ้นหูกันมานาน หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่าโรคไวรัสตับอักเสบบี สามารถติดต่อกันผ่านเพศสัมพันธ์ได้ เนื่องจากเชื้อไวรัสชนิดนี้สามารถติดต่อกันได้ผ่านจากแม่สู่ลูก ทางเลือด สารคัดหลั่ง เมื่อสัมผัสกับบริเวณที่เป็นเนื้อเยื่อหรือบาดแผลเปิด  

เกิดจากเชื้อ: ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B หรือ HBV) หากติดเชื้อแบบเฉียบพลันสามารถหายเองได้โดยจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน โดยหลังติดเชื้อจะเกิดภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติและจะไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก แต่หากภูมิคุ้มกันร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้ก็จะทำให้เกิดตับอักเสบเรื้อรัง และอาจทำให้ให้เป็นตับแข็ง หรือกลายเป็นมะเร็งตับได้

ลักษณะอาการ: หลังจากได้รับเชื้อจะใช้เวลาฟักตัว 2-3 เดือน อาการจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ระยะ 

  • อาการไวรัสตับอักเสบบีแบบเฉียบพลัน มีไข้ต่ำๆ ปวดเมื่อยตัว อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม ตาเหลือง ตัวเหลือง 
  • อาการไวรัสตับอักเสบบีแบบเรื้อรัง ส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการ แต่บางคนอาจมาด้วยอาการอาเจียนเป็นเลือด ท้องมาน ตัวและตาเหลือง หรือคลำได้ก้อนที่ท้อง เป็นต้น และจะรู้ตัวได้ชัดเจนเมื่อเจาะเลือดตรวจค่าความผิดปกติของค่าเอนไซม์ตับเท่านั้น 

ใครเสี่ยงที่จะติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ?

คนที่มีกิจกรรมทางเพศบ่อย มีคู่นอนหลายคน อายุน้อย ไม่ใส่ถุงยางอนามัยเวลามีเพศสัมพันธ์ เคยมีประวัติเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในอดีต ดื่มสุรา และใช้สารเสพติด

สามารถติดโรคจากคนที่ไม่มีอาการ ภายนอกดูแข็งแรงปกติ ได้หรือไม่ ?

ในบางระยะของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ผู้ติดเชื้อจะไม่แสดงอาการผิดปกติ ทำให้ไม่ทราบว่าตนเองมีเชื้ออยู่ แต่สามารถแพร่กระจายเชื้อไปสู่คู่นอนได้ การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ใส่ถุงยางอนามัยแม้เพียงครั้งเดียว ก็สามารถทำให้ติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงเชื้อเอชไอวีได้

มื่อสงสัยว่าอาจติดโรคทางเพศต้องปฎิบัติตัวดังนี้

เมื่อพบว่ามีอาการผิดปกติที่สงสัยว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือเพิ่งมีความเสี่ยงในการติดโรค ควรรีบปรึกษาแพทย์ และงดการมีเพศสัมพันธ์ชั่วคราวเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อไปยังบุคคลอื่นจนกว่าจะทราบผลการตรวจ ถ้าแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคควรงดการมีเพศสัมพันธ์ จนกว่าจะได้รับการรักษาจนหาย และแนะนำให้คู่นอนในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เข้ารับการตรวจรักษาด้วย 

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รักษาให้หายขาดได้หรือไม่

โรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียสามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยการกินหรือฉีดยาปฏิชีวนะให้ครบตามแพทย์สั่ง และให้ความสำคัญกับการพาคู่นอนมารับการตรวจรักษา ส่วนโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสบางชนิดจะอยู่ในร่างกายตลอดชีวิต เช่น เริม การรักษาจะช่วยควบคุมอาการโรคได้ แต่การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น เอชพีวี ร่างกายอาจกำจัดเชื้อได้เอง หากกำจัดไม่ได้เชื้ออาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งในอนาคต 

วิธีการป้องกันการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 

  1. การไม่มีเพศสัมพันธ์เป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด แต่ถ้าเป็นไปไม่ได้ การมีคู่นอนคนเดียวและคู่นอนไม่ป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จะช่วยลดโอกาสเกิดโรคได้ 
  2. การใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธีและทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  3. การตรวจคัดกรองโรคหนองในแท้และหนองในเทียมปีละครั้ง โดยเฉพาะหญิงอายุน้อยกว่า 25 ปีที่มีกิจกรรมทางเพศบ่อย หญิงที่มีคู่นอนหลายคน หรือกลุ่มชายรักชาย และการตรวจคัดกรองโรคซิฟิลิสอย่างน้อยปีละครั้งในกลุ่มชายรักชาย
  4. การฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี สำหรับคนที่มีอายุ 9-45 ปี โดยเฉพาะก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก จะมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี

อ้างอิง: BBC NEWS ไทย , สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย  , โรงพยาบาลวิมุต , สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)