เปิดวาร์ปความจริง! เลิกเข้าใจผิดเกี่ยวกับ 'โรคเอดส์ กับHIV'

สงสัยกันไหมว่า โรคเอดส์ หรือการติดเชื้อ HIV นั้นเป็นอย่างไรกันแน่? หลายคนยังคงมีความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับโรคนี้มากมาย
KEY
POINTS
- มีความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับโรคเอดส์ และผู้ติดเชื้อ HIV จำนวนมาก ดังนั้น ควร ลดความเชื่อผิดๆ สนับสนุนผู้ติดเชื้อให้เข้าถึงการรักษา ส่งเสริมการตรวจคัดกรองและรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ
- เราสามารถอยู่ร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อ HIV หรือเป็นโรคเอดส์ได้ และขอให้ช่วยกันรณรงค์ให้ไม่เกิดการเลือกปฏิบัติ ไม่ตีตรา และไม่รังเกียจ
- ทางเลือกที่ทำให้การตรวจเอชไอวีเป็นเรื่องง่าย และสามารถตรวจได้ด้วยตนเอง คือ ชุดตรวจคัดกรองการติดเชื้อเอชไอวีด้วยตนเอง (HIV self-test)
ใครหลายๆ คนอาจจะยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “โรคเอดส์ หรือการติดเชื้อ HIV” จนทำให้เกิดความกลัว การเลือกปฎิบัติ และความเข้าใจผิดนี้เป็นอุปสรรคต่อผู้ที่มีชีวิตอยู่กับ เอดส์ หรือติดเชื้อHIV เพราะต่อให้ปัจจุบันมีความก้าวหน้ามากมายในการรักษาและป้องกันโรคนี้ แต่หากคนในสังคมยังเข้าใจผิด หรือผู้ติดเชื้อเองเข้าใจผิ ก็ทำให้เกิดการแพร่กระจายของโรคได้ง่าย
จากสถานการณ์เอชไอวีประเทศไทย ปี 2566 คาดว่ามีผู้ติดเชื้อเอชไอวี จำนวน 576,397 คน (ข้อมูลจาก Thailand Spectrum-AEM, 12 มี.ค. 2567) และมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่รู้สถานะการติดเชื้อของตนเอง จำนวน 522,581 คน คิดเป็นร้อยละ 90 (ข้อมูลจากระบบสารสนเทศการให้บริการผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยเอดส์แห่งชาติ) จะเห็นได้ว่า มีผู้ติดเชื้อจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ทราบสถานะการติดเชื้อของตนเอง
โดยอาจเกิดจากหลากหลายสาเหตุ เช่น มองว่าตัวเองไม่เสี่ยง ไม่กล้าไปตรวจที่สถานบริการสุขภาพ กังวลเรื่องผลตรวจ กังวลเรื่องค่าใช้จ่าย และไม่รู้ว่ามีทางเลือกอื่นๆ ที่ง่าย สะดวก และตรวจได้ด้วยตนเองได้แล้ว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ลดอ้วน สยบเบาหวาน น้ำหนักลด 10-15% ช่วยป้องกันโรคร้ายได้
สูงวัยไทย จะไม่เดียวดายตายลำพัง มธ.ชู 'นักบริหารสูงวัย' ช่วยแก้ปัญหา
โรคเอดส์-HIV พบผู้ติดเชื้อจำนวนมาก
ขณะที่ การสำรวจข้อมูลของ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ปี พ.ศ. 2565 ประเทศไทยมีผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี ประมาณ 561,578 คน มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 9,230 คน ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อรายใหม่ เป็นเยาวชนอายุ 15-24 ปี จำนวน 4,379 คน
นอกจากนั้น ยังพบว่าพฤติกรรมที่ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ ถึงร้อยละ 96 เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน และเมื่อพิจารณาสถานการณ์การเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 5 โรคหลัก ซิฟิลิส หนองใน หนองในเทียม แผลริมอ่อน กามโรคต่อมน้ำเหลือง ช่วงปี 2560 – 2565 กลุ่มเยาวชนอายุ 15 – 24 ปี ยังเป็นกลุ่มที่มีอัตราป่วยมากและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมีอัตราป่วย 99.6 ราย ต่อประชากรแสนคน ในปี 2560 เพิ่มขึ้นเป็นเป็น 112.3 ราย ต่อประชากรแสนคน ในปัจจุบัน
เช็กความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคเอดส์-HIV
ผศ.นพ.ถนอมศักดิ์ อเนกธนานนท์ แพทย์ผู้ชำนาญการสาขาอายุรศาสตร์โรคติดเชื้อ โรงพยาบาลเมดพาร์ค อธิบายผ่านบทความว่า โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือที่รู้จักกันดีในชื่อโรคเอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndrome, AIDS) ได้รับความสนใจน้อยลง ทั้งที่ ปัญหาเรื่องการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ในประเทศไทยยังถือว่าเป็นปัญหาสำคัญ เพราะยังมีความเข้าใจผิดในหลายๆ เรื่อง จึงมาร่วมไขข้อข้องใจ แก้ความเชื่อผิดๆ ที่หลายคนอาจมีเกี่ยวกับโรคเอดส์ ดังนี้
ติดเชื้อ HIV หมายความว่าเป็นโรคเอดส์
HIV (Human Immunodeficiency Virus) ไม่ใช่เอดส์ แต่เป็นเชื้อไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย นั่นคือเซลล์เม็ดเลือดขาว CD4 หรือ T cells ซึ่งทำหน้าที่ในการต่อสู้เชื้อโรคต่างๆ หากเมื่อใดผู้ติดเชื้อ HIV มีอาการป่วยจากโรคติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น ปอดอักเสบ PJP วัณโรค เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อคริปโตคอคคัส หรือถึงแม้ยังไม่มีอาการป่วยจากโรคติดเชื้อฉวยโอกาส แต่เมื่อใดที่เชื้อไวรัส HIV ทำลายเซลล์ CD4 จนมีปริมาณไม่เพียงพอ (ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม.) ทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ก็จะเรียกว่าเข้าสู่ระยะโรคเอดส์
การใช้ชีวิตร่วมกับผู้ติดเชื้อ HIV เช่น กินข้าวร่วมกัน ดื่มน้ำร่วมกันสามารถทำให้ติดเชื้อ HIV ได้
การหายใจ จาม ไอ กอด จูบ จับมือ ใช้ช้อนเดียวกัน ดื่มน้ำจากหลอดเดียวกัน ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกันเช่น ผ้าเช็ดตัว/ผ้าเช็ดหน้า อุปกรณ์ออกกำลังกาย การสัมผัสพื้นผิวต่าง ๆ ร่วมกัน เช่นลูกบิดประตู ฝารองนั่งในห้องน้ำ หรือการโดนยุงที่กัดผู้ติดเชื้อมากัดเราต่อ ไม่ได้ทำให้ติดเชื้อ HIV อย่างไรก็ตามยังมีเชื้อโรคอื่น ๆ ที่ติดต่อโดยการกินอาหารโดยใช้ช้อนเดียวกันหรือดื่มน้ำโดยใช้หลอดเดียวกันได้ จึงไม่แนะนำให้ทำ
HIV เป็นไวรัสที่อยู่ในเลือดและสารคัดหลั่ง เช่น เลือด น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด น้ำนม เป็นต้น จึงสามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การสัก เจาะหู/เจาะสะดือ และการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก (ขณะตั้งครรภ์ ระหว่างการคลอดและผ่านทางน้ำนม) ดังนั้นผู้ที่ติดเชื้อ HIV และคนทั่วไป จึงสามารถอยู่ร่วมกันได้ปกติ เพียงแต่หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
การจูบ การมีเพศสัมพันธ์โดยใช้ปาก และการใช้ sex toy สามารถถ่ายทอดเชื้อ HIV ได้
การจูบแบบเปิดปากอาจมีความเสี่ยงหากทั้งคู่มีบาดแผลในช่องปาก โดยที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเชื้อ HIV และการมีเพศสัมพันธ์ผ่านทางปาก (oral sex) ก็อาจมีความเสี่ยงในกรณีที่ฝ่ายชายมีการหลั่งน้ำอสุจิที่อาจมีเชื้อ HIV อยู่และเข้าไปในช่องปากของคู่นอนที่มีบาดแผลอยู่ในปาก อย่างไรก็ตามความเสี่ยงของทั้งสองกรณีเป็นความเสี่ยงที่ต่ำมาก ๆ
ส่วนการใช้อุปกรณ์เสริมในการมีเพศสัมพันธ์ (sex toy) ร่วมกันกับผู้อื่น อาจมีความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV ในกรณีที่มีการใช้ต่อกันทันทีและอุปกรณ์นั้นปนเปื้อนสิ่งคัดหลั่งหรือเลือดที่มีเชื้อ HIV หรือใช้อุปกรณ์ร่วมกันกับผู้ที่มีเชื้อ HIV
มีเชื้อ HIV แล้วทำให้ตายเร็ว
ปัจจุบัน การรักษา HIV มีประสิทธิภาพสูง ผลข้างเคียงน้อย รักษาแล้วได้ผลดี สามารถมีชีวิตได้เหมือนคนปกติถึงแม้ว่าจะอยู่ในระยะโรคเอดส์แล้ว แต่ถ้ามารักษาทัน และไม่ได้มีโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแทรกซ้อนรุนแรงก็สามารถรักษาให้กลับมาใช้ชีวิตเหมือนคนปกติได้ แม้ระดับ CD4 จะลดเหลือหนึ่งตัวหรือศูนย์ตัว ก็มีผู้ป่วยที่รักษาแล้ว จำนวนเซลล์ CD4 สามารถกลับมาเป็นปกติและมีร่างกายที่แข็งแรงได้ จึงไม่ควรปล่อยให้ตนเองเสียโอกาส หากมีโอกาสเสี่ยงที่ติดเชื้อ HIV ให้รีบมาตรวจรักษา และหากทราบว่าติดเชื้อ HIV แล้วให้แจ้งผลกับคู่นอน เพื่อที่จะได้เข้ารับการตรวจ และ/หรือรักษาให้ทันท่วงทีก่อนที่จะป่วยหนัก
ตรวจไม่เจอหมายความว่าหายแล้ว
การตรวจไม่เจอเชื้อไวรัส HIV ในเลือด (Undetectable HIV viral load) ไม่ได้หมายความว่าไม่มีเชื้อแล้ว แต่หมายความว่ายาได้ไปฆ่าไวรัสจนเหลือน้อยมาก อย่างไรก็ตาม ยังมีไวรัสหลบซ่อนตัวอยู่ในที่ต่างๆ ทั่วร่างกาย เช่น ในสมอง ต่อมน้ำเหลือง หรือลำไส้ ดังนั้นหากคนไข้หยุดกินยาต้านไวรัส จำนวนเชื้อ HIV ก็จะเพิ่มขึ้น ภูมิคุ้มกันจะตกลงและมีโอกาสป่วยได้อีก
ตรวจไม่เจอ=ไม่แพร่เชื้อ
ปัจจุบันมีคอนเซ็ปต์ U = U หรือ Undetectable = Untransmissible หมายความว่า ไม่เจอเชื้อ = ไม่แพร่เชื้อ หากผู้ติดเชื้อได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสและกินยาอย่างสม่ำเสมอเคร่งครัด จนมีปริมาณเชื้อไวรัส HIV ในเลือดที่ต่ำมาก (ต่ำกว่า 40 copies ต่อ มล.) หรือตรวจไม่พบเชื้อ (Undetectable) ติดต่อกันก็จะไม่สามารถแพร่เชื้อได้ (Untransmissible) ดังนั้นการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใส่ถุงยางอนามัยกับผู้ติดเชื้อ HIV ที่กินยาต้านไวรัสจนตรวจไม่พบเชื้อแล้ว จึงมีความปลอดภัยจากการติดเชื้อ HIV อย่างไรก็ตามยังควรสวมใส่ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันโรคติดต่อทาง เพศสัมพันธ์อื่น ๆ หรือหากคู่นอนที่ติดเชื้อ HIV กินยาไม่สม่ำเสมอ แล้วเกิดเชื้อดื้อยา อาจทำให้ไวรัสเพิ่มจำนวนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว และสามารถแพร่เชื้อให้อีกฝ่ายได้ จึงควรมีการป้องกันโดยการสวมใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย และควรจำกัดจำนวนคู่นอนด้วยเช่นเดียวกัน
เชื้อ HIV สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสทั่วไป
การสัมผัสมือหรือการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ ไม่สามารถทำให้ติดเชื้อ HIV ได้ เพราะเชื้อ HIV จะแพร่กระจายผ่านการสัมผัสเลือด น้ำอสุจิ หรือของเหลวในร่างกายที่มีเชื้อไวรัส เช่น ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
HIV และเอดส์ ส่งผลกระทบเฉพาะกับชายรักชาย
หนึ่งในความเชื่อที่ผิดพลาดที่สุดเกี่ยวกับ HIV/เอดส์ คือโรคนี้ส่งผลกระทบเฉพาะกับชายที่รักเพศเดียวกัน แม้ว่าจะเป็นความจริงที่ชายรักชายและชายไบเซ็กชวลมีความเสี่ยงสูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ แต่ความจริงคือ ทุกคน สามารถติดเชื้อ HIV ได้ ไม่ว่าจะมีรสนิยมทางเพศหรืออัตลักษณ์ทางเพศแบบใดก็ตาม
โดนยุงกัดทำให้ติดเอดส์ได้
การโดนยุงกัดไม่ทำให้ติดเชื้อ HIV หรือเป็นเอดส์ เพราะยุงไม่สามารถแพร่เชื้อ HIV ได้ ถึงแม้ว่ายุงจะดูดเลือดจากผู้ที่ติดเชื้อ HIV แต่เชื้อ HIV ไม่สามารถอยู่รอดในร่างกายของยุง จึงไม่สามารถแพร่เชื้อไปสู่คนอื่นได้
HIV/เอดส์ เป็นผลจากพฤติกรรมที่ผิดศีลธรรม
อีกหนึ่งความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับ HIV และโรคเอดส์ คือการมองว่าเป็นการลงโทษสำหรับพฤติกรรมที่ถูกมองว่าผิดศีลธรรม ความเข้าใจผิดนี้มักเกิดจากความเชื่อที่ว่า HIV/เอดส์แพร่กระจายผ่านกิจกรรมทางเพศหรือการใช้ยาเสพติด ซึ่งมักถูกตีตราทางสังคม
อย่างไรก็ตาม HIV/เอดส์ไม่ใช่การลงโทษทางศีลธรรม มันเป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยไม่คำนึงถึงพฤติกรรมหรือวิถีชีวิตของพวกเขา การตีตราผู้ติดเชื้อเพียงแต่จะส่งเสริมทัศนคติและความเชื่อที่เป็นอันตราย และอาจขัดขวางไม่ให้ผู้คนกล้าเข้าถึงการรักษาและการสนับสนุนที่จำเป็น
HIV/เอดส์ เป็นโรคที่ไม่สามารถมีชีวิตที่ยืนยาวได้
อีกความเชื่อที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ HIV/เอดส์ คือโรคนี้เป็นเหมือนคำตัดสินประหารชีวิต แม้ว่าในอดีต HIV/เอดส์ เคยเป็นโรคที่รักษาไม่ได้และมักนำไปสู่การเสียชีวิต แต่ปัจจุบัน มีความก้าวหน้าทางการรักษา ที่ทำให้ผู้ที่ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวและสุขภาพดีได้
การรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART) สามารถกดไวรัสให้อยู่ในระดับต่ำมากจนแทบตรวจไม่พบ และช่วยป้องกันไม่ให้โรคพัฒนาไปเป็นเอดส์หากได้รับการดูแลทางการแพทย์อย่างเหมาะสมและปฏิบัติตามการรักษา ผู้ที่ติดเชื้อ HIV/เอดส์สามารถมีชีวิตที่เต็มไปด้วยคุณภาพและความสามารถในการทำงาน
รณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับ HIV/เอดส์
การให้ความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์จะช่วยให้ทุกคนเข้าใจถึงความสำคัญของโรค รู้วิธีการปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อ HIV หรือโรคเอดส์อย่างถูกต้อง
ลดความเชื่อผิดๆ: การให้ข้อมูลที่ถูกต้องสามารถลดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคเอดส์และ HIV ที่อาจทำให้เกิดความกลัวหรือความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เช่น ความเชื่อว่าโรคเอดส์ติดต่อผ่านการสัมผัสหรือการใช้ชีวิตร่วมกับผู้ติดเชื้อ
ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ: การให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการป้องกันการติดเชื้อ เช่น การใช้ถุงยางอนามัย การตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ และการใช้ยาต้านไวรัส จะช่วยลดอัตราการแพร่เชื้อในสังคมได้
ลดการตีตราและการกีดกัน: เมื่อคนในสังคมเข้าใจว่า HIV ไม่ใช่โรคติดต่อที่สามารถแพร่กระจายได้ง่าย การรณรงค์จึงช่วยลดการตีตราและการกีดกันผู้ติดเชื้อจากสังคมได้
สนับสนุนผู้ติดเชื้อให้เข้าถึงการรักษา: การให้ความรู้จะช่วยให้ผู้ติดเชื้อรู้ถึงวิธีการรักษา และสามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างเหมาะสม
ส่งเสริมการตรวจคัดกรองและการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ: การรณรงค์จะกระตุ้นให้คนตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจ HIV ตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งจะช่วยให้เริ่มการรักษาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
ผศ. นพ.ถนอมศักดิ์ ทิ้งท้ายว่าเราสามารถอยู่ร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อ HIV หรือเป็นโรคเอดส์ได้ และขอให้ช่วยกันรณรงค์ให้ไม่เกิดการเลือกปฏิบัติ ไม่ตีตรา และไม่รังเกียจผู้ที่ติดเชื้อ HIV ขอให้ทุกคนไม่ประมาท แนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอเพราะนอกจากสามารถป้องกัน HIV ได้แล้วยังป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้อีกด้วย
สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงหรือพฤติกรรมเสี่ยง หากสงสัยว่าตนเองอาจติดเชื้อ ให้รีบทำการตรวจเลือด เพื่อที่จะได้รีบเข้าสู่ระบบและรักษาแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่เกิดโรคแทรกซ้อน คงสุขภาพที่ดีเอาไว้ และป้องกันคนที่ตนรักอีกด้วย
ทั้งนี้ ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่ได้ผลในการป้องกันหรือรักษาการติดเชื้อ HIV และยังไม่มียาที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ณ ขณะนี้ยังต้องใช้การรักษาในระยะยาว ดังนั้นหากติดเชื้อแล้วเชื้อไวรัสนี้จะอยู่กับผู้ป่วยไปตลอด ต้องรักษาตัวให้ดี และกินยาอย่างสม่ำเสมอ ที่สำคัญ ห้ามซื้อยารักษาโรคติดเชื้อ HIV รับประทานเอง ต้องพบและทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด อย่าใช้สมุนไพร อาหารเสริม หรือยาแผนใดที่ยังไม่ได้มีการศึกษาวิจัยตามหลักวิทยาศาสตร์ ว่ามีประสิทธิภาพในการต้านเชื้อไวรัส HIV
"การติดเชื้อเอชไอวีส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่ไม่รู้จักโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย การใช้เข็มฉีดสารเสพติดที่ไม่ปลอดภัย เป็นต้น คนไทยสามารถตรวจการติดเชื้อเอชไอวี ฟรี ปีละ 2 ครั้ง ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพียงแค่นำบัตรประจำตัวประชาชนไปยื่นขอตรวจที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน"
ทางเลือกที่ทำให้การตรวจเอชไอวีเป็นเรื่องง่าย และสามารถตรวจได้ด้วยตนเอง คือ ชุดตรวจคัดกรองการติดเชื้อเอชไอวีด้วยตนเอง (HIV self-test) ปัจจุบันมี 2 ชนิด คือ ชุดตรวจที่ตรวจจากเลือดเจาะปลายนิ้ว รู้ผลภายใน 1-15 นาที และชุดตรวจที่ตรวจจากน้ำในช่องปาก รู้ผลภายใน 20 นาที โดยสามารถตรวจหลังมีความเสี่ยงมาประมาณ 21-90 วัน
โดยศึกษาได้ในเอกสารกำกับที่อยู่ภายในชุดตรวจ ซึ่งประชาชนทุกสิทธิการรักษา สามารถขอรับชุดตรวจคัดกรองเอชไอวีด้วยตนเองได้ฟรีผ่านเมนูกระเป๋าสุขภาพในแอปพลิเคชันเป๋าตัง หรือซื้อได้ที่ร้านขายยาทั่วไป และหากผลการตรวจด้วยตนเองเป็นบวก ต้องไปตรวจยืนยันและเข้าสู่ระบบการรักษาโดยเร็วที่โรงพยาบาลต่อไป
อ้างอิง: โรงพยาบาลเมดพาร์ค, hdmall, มูลนิธิเพื่อรัก







