ลดอ้วน สยบเบาหวาน น้ำหนักลด 10-15% ช่วยป้องกันโรคร้ายได้

“โรคอ้วนและเบาหวาน” เป็นความท้าทายด้านสาธารณสุขที่กำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อทั่วโลกและสังคมไทย โดยมีประชากรไทยกว่า 40% ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน
KEY
POINTS
- ศูนย์ความเป็นเลิศผู้ป่วยโรคอ้วนและโรคเบาหวาน รพ.ธรรมศาสตร์ฯ พร้อมดูแลคนไข้ ทั้งด้านการป้องกัน การตรวจวินิจฉัย และการรักษา อาทิ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การให้ยา และการผ่าตัด เพื่อสุขภาพที่ดีของผู้ป่วยเป็นหลัก
- รพ.ธรรมศาสตร์ เปิดตัว Line OA :TU Be Well Buddy เพื่อนคู่คิดด้านดูแลสุขภาพ ผู้ช่วยส่วนตัวและการเข้าถึงข้อมูลด้านสุขภาพ ข้อมูลด้านโภชนาการ การออกกำลังกาย
- เทคนิค 3 ข้อ ที่จะทำให้ลดความอ้วน ลดเบาหวานได้สำเร็จ คือ ต้องรักตัวเอง หัดลงทุนกับตัวเอง และให้เวลากับสิ่งที่ทำ
“โรคอ้วนและเบาหวาน” เป็นความท้าทายด้านสาธารณสุขที่กำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อทั่วโลกและสังคมไทย โดยมีประชากรไทยกว่า 40% ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน และอย่างน้อย 6.4 ล้านคนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ซึ่งปัญหาดังกล่าวไม่เพียงสร้างผลกระทบต่อด้านสุขภาพ แต่ยังผลต่อเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชน
วันนี้( 26 พ.ค.2568) ที่อาคาร ม.ร.ว.สุวพรรณ สนิทวงศ์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ร่วมกับบริษัท โนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศ ความร่วมมือในโครงการ ”ก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่4 โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ :พิชิตอ้วน พิชิตเบาหวาน“ เพื่อยกระดับการดูแลโรคอ้วนและเบาหวานให้ครอบคลุมทุกมิติของผู้ป่วยพร้อมทั้งขยายการเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพให้แก่ประชาชน พร้อม เสวนาในหัวข้อ “การบูรณาการสำหรับความร่วมมือ ในการพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศด้านโรคอ้วน และโรคเบาหวาน”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
สูงวัยไทย จะไม่เดียวดายตายลำพัง มธ.ชู 'นักบริหารสูงวัย' ช่วยแก้ปัญหา
'ObesityConnects' Line OA แพลตฟอร์มช่วยจัดการปัญหา 'โรคอ้วน'
รพ.ธรรมศาสตร์ฯ ลดอ้วน ลดเบาหวาน
รศ.นพ.ดิลก ภิยโยทัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ กล่าวว่าโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ กำลังก้าวสู่ทศวรรษใหม่ด้วยเป้าหมายในการสร้างระบบสุขภาพที่เน้นการดูแลแบบองค์รวม ซึ่งไม่เพียงการรักษาโรค แต่เป็นการดูแลคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโดยรอบเพราะเชื่อว่าการดูแลสุขภาพที่ดีควรเข้าถึงได้สำหรับทุกคนและความร่วมมือในครั้งนี้เป็นรากฐานสำคัญของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ เป็นโรงพยาบาลเพื่อประชาชน ซึ่งพยายามผลักดันให้ศูนย์ความเป็นเลิศผู้ป่วยโรคอ้วนและโรคเบาหวาน เป็นต้นแบบในการดูแลผู้ป่วยระดับประเทศ โดยยึดความร่วมมือระหว่างภาคีภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรต่างๆ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกัน เพื่อประโยชน์ต่อผู้ป่วย เพราะโรคอ้วน นำมาซึ่งโรคที่หลายคนรู้จักกันดี อย่าง กลุ่มโรค NCDs หรือ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
“ศูนย์ความเป็นเลิศผู้ป่วยโรคอ้วนและโรคเบาหวาน ถือเป็นศูนย์หนึ่งที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ พร้อมดูแลคนไข้ โดยมีทีมแพทย์ พยาบาล และบุคลากรของโรงพยาบาลจากสหสาขาวิชาชีพ โดยจะเป็นศูนย์ที่มีความรอบด้าน ทั้งทีมแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ นักโภชนาการ นักกายภาพบำบัด รวมถึงเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อให้การบริการทั้งด้านการป้องกัน การตรวจวินิจฉัย และการรักษา อาทิ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การให้ยา และการผ่าตัดโดยมีการติดตามอย่างต่อเนื่อง เพื่อสุขภาพที่ดีของผู้ป่วยเป็นหลัก”
ทั้งนี้ ในโอกาสที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติจะครบรอบ 40 ปีในอีก 2 ปีข้างหน้า ซึ่งโรงพยาบาลยังคงก้าวเดินอย่างมั่นคงโดยยึดมั่นปณิธานที่จะเป็นโรงพยาบาลเพื่อประชาชน ความก้าวหน้าทางด้านการแพทย์ การรักษาพยาบาล และการดูแลสุขภาพให้แก่ประชาชน
หนุนยา- เทคโนโลยี พิชิตอ้วน เบาหวาน
นายเอ็นริโก้ คานัล บรูแลนด์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพคือสิ่งที่บริษัทยึดถือและเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินงานทั่วโลกการได้ร่วมมือกับรพ.ธรรมศาสตร์ฯ ซึ่งมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในบริบทของระบบสุขภาพไทยถือเป็นโอกาสในการร่วมกันพัฒนาวิธีการดูแลโรคอ้วนและเบาหวานที่มีประสิทธิภาพครอบคลุมและยั่งยืน
โดยความร่วมมือครั้งนี้ โนโว นอร์ดิสค์ จะมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิตอลเป็นเครื่องมือสนับสนุน เพื่อเสริมสร้างการสื่อสารระหว่างผู้ป่วยกับทีมดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องเข้าใจง่ายและมีส่วนร่วมในการจัดการสุขภาพของตนเองได้ดียิ่งขึ้น นับเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบสุขภาพที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในทุกมิติ
“การที่มีจำนวนผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือโรคอ้วนมากขึ้นนั้น จะนำไปสู่การเกิดโรคอื่นๆ เพิ่มมากขึ้นด้วย ทั้งโรคหัวใจ โรคไต โรคหลอดเลือดสมอง และโรคอีกมากมาย ดังนั้น การดูแลผู้ป่วยโรคอ้วนและโรคเบาหวาน เป็นการป้องกันสาเหตุอันดับต้นๆ ที่ทำให้เกิดโรคอื่นๆ และความร่วมมือระหว่างรพ.ธรรมศาสตร์ฯ และโนโว นอร์ดิสค์ ครั้งนี้ จะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ที่สำคัญ รพ.ธรรมศาสตร์ มีความพร้อมความเชี่ยวชาญ และศักยภาพในการดูแล รักษา ป้องกันผู้ป่วยโรคอ้วนและเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายเอ็นริโก้ กล่าว
ไทยมีผู้ป่วยโรคอ้วนอันดับ 3ของอาเซียน
รศ.พญ.ณัฎฐิณี จรัสเจริญวิทยา หัวหน้าต่อมไร้ท่อและเมแทบอลิซึม ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า โรคเบาหวานและโรคอ้วน เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อย และมีผลกระทบอย่างมาก เนื่องจากนำไปการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆ
อีกทั้ง มีข้อมูลชัดเจนว่า คนไข้เบาหวาน โดยเฉพาะเบาหวาน ชนิดที่ 2 อ้วนและมีภาวะน้ำหนักเกิน ซึ่งหากลดน้ำหนักคนไข้ได้ 10-15% นอกจากจะทำให้การคุมเบาหวานได้ดีขึ้น ลดการเกิดโรคต่างๆ แล้ว ยังทำให้ภาวะเบาหวานสงบได้ จึงเป็นที่มาว่าต้องพิชิตอ้วน พิชิตเบาหวาน ซึ่ง 2 โรคนี้ ถือเป็นต้นเหตุหลัก เป็นการป้องกันก่อนเกิดโรคร้ายอื่นๆ
ผศ.พญ.ศานิต วิชานศวกุล หัวหน้าหน่วยโภชนศาสตร์คลินิก ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่าขณะนี้ประเทศไทยประสบปัญหากับการเพิ่มขึ้นของโรคอ้วนและมีภาวะน้ำหนักตัวเกิน ซึ่งมีประชากรที่เป็นโรคอ้วนหรือภาวะน้ำหนักเกินเป็นอันดับ3 ของอาเซียน และในปีนี้มีผู้ป่วยโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกินเพิ่มขึ้น 40%
“อัตราการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโรคอ้วนและน้ำหนักเกิน ถือเป็นปัญหาในระบบสาธารณสุขเพราะโรคอ้วนไม่ได้เป็นเรื่องเกี่ยวกับรูปร่าง ความสวยงามเท่านั้น แต่นำมาซึ่งภาวะแทรกซ้อนต่างๆ อาทิ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ นอกจากนั้นยังมีปัญหาเรื่องความมั่นใจ โรคซึมเศร้า โรคหยุดหายใจขณะหลับและโรคอื่นๆอีกมากมาย โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโรคมะเร็ง”ผศ.พญ.ศานิต กล่าว
รักษาโรคอ้วนอย่างเหมาะสม ช่วยเบาหวานสงบ
ทั้งนี้ การรักษาโรคอ้วนและภาวะน้ำหนักเกิน เป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อนและควรต้องรักษาตามหลักวิชาการและการดูแลแบบองค์รวม โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ มีศูนย์ดูแลผู้ป่วยโรคอ้วนและภาวะน้ำหนักเกิน โดยได้มีการเปิดศูนย์โภชนาการโรคอ้วนและเมตาบอลิค รวมถึงศูนย์โรคเบาหวานที่ดูแลจากทีมสหสาขาวิชาอย่างเป็นองค์รวม
ตั้งแต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การรับประทานอาหารอย่างถูกต้องเพื่อการลดน้ำหนักอย่างยั่งยืน การใช้ยาอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการโดยมีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจน และได้รับการผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักหากมีภาวะที่จำเป็นต้องผ่าตัดลดน้ำหนักโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
นอกจากนี้ ยังมีนักโภชนาการ ผู้ดูแลเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนอาหาร รวมถึงการให้แรงจูงใจจากนักวิทยาศาสตร์การกีฬาในการออกกำลังกาย และการทำเวิร์คช็อปต่างๆ
"การที่ได้เข้าสู่การรักษาอย่างเหมาะสมจะทำให้ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักตัวเกินและโรคและเป็นโรคอ้วน มีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และการหายจากโรคอ้วน โดยเฉพาะในกลุ่มของผู้ป่วยที่เป็นทั้งโรคอ้วนและโรคเบาหวานจะทำให้สามารถเข้าสู่ภาวะเบาหวานสงบได้ หากสามารถลดน้ำหนักอย่างเหมาะสม จะช่วยลดยาและลดภาวะอื่นๆได้ เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง"ผศ.พญ.ศานิต กล่าว
TU Be Well Buddy เพื่อนคู่คิดผู้ป่วยโรคอ้วน-เบาหวาน
ผศ.พญ.ศานิต กล่าวว่าโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ได้พัฒนาแพลตฟอร์มแอปพลิเคชั่น LINE OA ที่ชื่อ TU Be Well Buddy ช่วยในการดูแลผู้ป่วยโดยมี Be Well Buddy เปรียบเสมือนเพื่อนคู่คิดด้านดูแลสุขภาพ โดยแพลตฟอร์มนี้ได้ถูกออกแบบเป็นผู้ช่วยส่วนตัวและการเข้าถึงข้อมูลด้านสุขภาพ ข้อมูลด้านโภชนาการ การออกกำลังกาย
การติดตามค่าน้ำตาล การใช้ยา รวมถึงสามารถที่จะนัดหมายการดูแลกับแพทย์ได้เพียงปลายนิ้วสัมผัสเพราะเราเชื่อว่า Buddy ที่เข้าใจและอยู่เคียงข้างจะทำให้ผู้ป่วยเข้าสู่กระบวนการรักษาอย่างเหมาะสมและเดินไปด้วยกันอย่างยั่งยืน
ผศ.พญ.ศานิต กล่าวต่อไปว่าโครงการ Be Well Buddy เป็นนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมการดูแลรักษาผู้ป่วย โดยมีการใช้ Line OA และAI มาช่วยดูแลผู้ป่วยเบาหวาน เป็นเสมือนตัวช่วยหรือเพื่อนแก่ผู้ป่วย เพราะต่อให้ผู้ป่วยได้เข้ารับการรักษา การดูแลโรค แต่โรคเบาหวานและโรคอ้วน มีสาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมของแต่ละคน และในปัจจุบันเป็นเรื่องยากที่การใช้ชีวิตของผู้คนจะเป็นไปตามที่แพทย์แนะนำ"
"โครงการ Be Well Buddy จะเป็นผู้ช่วยและเพื่อนแก่ผู้ป่วย ซึ่งทำหน้าที่ทั้ง เตือนการนัดหมายที่โรงพยาบาล การรับประทานยา การใช้ยาอย่างถูกต้อง และพฤติกรรมการใช้ชีวิต ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกเดียวดายในการดูแลรักษาโรค ไม่เดียวดายในการดูแลรักษาโรค และคาดว่าจะใช้ได้ในเร็วๆ นี้"ผศ.พญ.ศานิต กล่าว
3 เคล็ดลับลดอ้วนสำเร็จ "รักตัวเอง ลงทุนกับตัวเอง ให้เวลา"
พญ.กนกกาญจน์ ชูพิศาลยโรจน์ อาจารย์หน่วยโภชนศาสตร์คลินิก ภาควิชาอายุศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่าปัจจุบันมีผู้ป่วยให้ความสนใจในการดูแลสุขภาพของตนเองมากขึ้น ซึ่งเคสนายกิตติ ที่นำมาเป็นตัวอย่างในวันนี้ เป็นผู้ป่วยที่มีความสนใจในการดูแลสุขภาพของตนเองและต้องการให้ตนเองมีสุขภาพที่ดีขึ้น โดยขณะนั้น นายกิตติ มาดูแลโรคอ้วนและโรคเบาหวาน ด้วยน้ำหนัก 110 กิโลกรัม สูง 175 เซนติเมตร และดัชนีมวลกาย 36 โดยผลการตรวจร่างกาย พบว่า มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง ตับอักเสบจากไขมันพอกตับ เริ่มต้นได้ให้คำแนะนำในการลดน้ำหนัก จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การบริโภคอาหาร การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด ส่วนภาวะน้ำตาลในเลือดสูงให้มีการใช้ยาเบาหวานร่วมด้วย
ตลอดระยะเวลาการดูแลรักษา นายกิตติได้ปฎิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ทำให้ 3 เดือน นายกิตติ สามารถลดน้ำหนักได้ 15 กิโลกรัม และน้ำหนักลดลงเรื่อยๆ จนถึง 30 กิโลกรัม ขณะนี้มีน้ำหนัก 85 กิโลกรัม ซึ่งถือว่าเป็นคนไข้ที่ปรับพฤติกรรมได้ดี และได้หยุดยาเบาหวาน เพราะภาวะเบาหวานสงบ ค่าตับและค่าไตดีขึ้น ขณะเดียวกัน น้ำหนักที่คงที่ 85 นั้น พบว่า สิ่งที่หายไปคือ ไขมัน แต่ได้กล้ามเนื้อกลับมา
"ปัจจุบันคะแนนสุขภาพ และระดับร่างกายของคนไข้ จะอยู่ในระดับกล้ามเนื้อมาก จากเดิม ประเภทร่างกายเป็นโรคอ้วนระดับ 2 ซึ่งความสำเร็จที่เกิดขึ้นได้นั้น ไม่ใช่เพียงคำแนะนำ การดูแลของทีมแพทย์เท่านั้น สิ่งสำคัญ คือ ตัวของคนไข้เอง ที่อยากเปลี่ยนเป็นคนใหม่ อยากมีสุขภาพที่ดี โดยหมอเป็นเพียงผู้ช่วยให้ประสบความสำเร็จมากขึ้น"
นายกิตติ รุ่งโรจน์ชำนาญกิจ ผู้ที่มีประสบการณ์โรคอ้วน และโรคเบาหวาน กล่าวว่าก่อนที่มาหาคุณหมอ คนอ้วนส่วนใหญ่ ไม่ได้รู้สึกว่าเราอ้วน และมีปัญหาว่าต้องมารักษา เราจะรู้สึกต่อเมื่อมีอาการบางอย่างในร่างกายเปลี่ยนแปลงไป อย่าง ตนเองรู้สึกว่าไม่ค่อยรักตัวเอง อยากจะลองทำสิ่งดีๆ ให้แก่ตัวเองสักครั้ง จึงตัดสินใจลดความอ้วนและเริ่มหาข้อมูล จนมาพบว่ารพ.ธรรมศาสตร์ฯ มีคลินิกโรคอ้วน และเมื่อได้มาพบแพทย์ก็ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง
"พอเริ่มรักตัวเอง จะทำอะไรทุกอย่างจะง่ายมากขึ้น พอคุณหมอแนะนำอะไร เราก็จะเชื่อฟัง และโดยส่วนตัวผมมองว่าการเชื่อแพทย์ ดีกว่าเอาชีวิตไปเสี่ยงกับอาหารเสริม สำหรับเคล็ดลับในการลดน้ำหนัก ลดอ้วน และลดเบาหวานได้นั้น มีหลัก 3 ข้อ คือ ต้องรักตัวเอง หัดลงทุนกับตัวเอง และให้เวลากับสิ่งที่ทำ"นายกิตติ กล่าว







