เขียน 'พินัยกรรมชีวิต' ก่อนที่คนอื่นจะต้องตัดสินใจแทน

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Living Will หรือพินัยกรรมชีวิต ที่ช่วยกำหนดเจตจำนงของตนเองในกรณีที่ไม่สามารถตัดสินใจได้
KEY
POINTS
- การเข้ารับ Palliative Care หรือ การวางแผนดูแลล่วงหน้าAdvance Care Planning (ACP) หรือแม้กระทั่ง การเขียน Living Will ไม่ใช่การเลือกตาย แต่เป็นการเลือกใช้ชีวิตให้มีความหมายจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต
- Living Will จะดำเนินการก็ต่อเมื่อ ผู้ป่วยไม่มีสติสัมปะชัญญะ ติดสินใจอะไรเองไม่ได้แล้ว ซึ่งสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้การจากไปเป็นไปตามเจตจำนงของเราเอง
- ไม่ได้เป็นการเร่งหรือยุติชีวิตของผู้ป่วย แต่เป็นการลดการรักษาที่ไม่จำเป็นและไม่ตรงกับความต้องการของผู้ป่วย
“Living and Leaving Note Workshop” หนึ่งในไฮไลต์ “มหกรรมพบเพื่อนใจ Soul Connect Fest 2025” ภายใต้แนวคิด Humanice “มาพบเพื่อนที่ดีต่อใจ พาคุณไป Connect หัวใจความเป็นมนุษย์ในตัวคุณ” เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน พร้อมขับเคลื่อนสังคมให้เป็นพื้นที่แห่งความเกื้อกูล จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เครือข่ายสุขภาวะทางปัญญา 100 องค์กร ระหว่างวันที่ 27 ก.พ.-2 มี.ค. 2568 ที่สามย่านมิตรทาวน์
ชวนให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมทบทวนความหมายของชีวิต วางแผนอนาคต และทำความเข้าใจ Living Will หรือ พินัยกรรมชีวิต ซึ่งช่วยกำหนดแนวทางการรักษาพยาบาลและการตัดสินใจสำคัญในวันที่ไม่สามารถตัดสินใจเองได้ เพื่อให้การจากไปเป็นไปตามเจตจำนง และการใช้ชีวิตมีความหมายจนถึงวันสุดท้าย
เน้นสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับ “ชีวิตและความตาย” ผ่านการวางแผนล่วงหน้าอย่างมีสติ ผู้เข้าร่วมจะได้เรียนรู้แนวคิด “อยู่ดี ตายดี” ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Living Will หรือพินัยกรรมชีวิต ที่ช่วยกำหนดเจตจำนงของตนเองในกรณีที่ไม่สามารถตัดสินใจได้ พร้อมวางแผนชีวิตใน 5 มิติสำคัญ ได้แก่ การแพทย์, จิตใจ, การสื่อสาร, เศรษฐกิจ และกฎหมาย ซึ่งเป็น 1 ในเครื่องมือของ “การดูแลแบบประคับประคองหรือ Palliative Care”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
Palliative Care ทางเลือกการรักษา
หลายครั้งมักพบว่าผู้คนที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคร้ายแรง มักจะไม่ค่อยอยากรักษา แต่อยากไปพื้นที่ที่อยากไป อยู่กับคนที่อยากอยู่ ได้ทำสิ่งที่อยากทำ และจากไปตามธรรมชาติ สิ่งนี้ไม่ใช่การปฏิเสธการรักษาแต่เป็นการดูแลเพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพที่ชีวิตที่ดีที่สุด สิ่งนี้เรียกว่า “การดูแลแบบประคับประคอง หรือ Palliative Care” เป็นแนวทางการดูแลผู้ป่วยที่เผชิญกับโรคร้ายแรงหรือโรคเรื้อรังระยะสุดท้าย มุ่งเน้นที่คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดทางร่างกาย(จากการรักษา) ดูแลด้านจิตใจ อารมณ์ และจิตวิญญาณของทั้งผู้ป่วยและญาติอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งหลังจากที่ผู้ป่วยจากไปแล้ว
“ธนาภรณ์ พจนากำธร” คอนเทนต์ครีเอเตอร์ จากชีวามิตร วิสาหกิจเพื่อสังคมกล่าวว่า Palliative Care คือทางเลือกการรักษาที่สามารถทำได้ เมื่อมีการวินิจฉัยโรคร้ายแรงที่รักษาไม่หายจากความเจ็บปวด ยกตัวอย่างครอบครัวหนึ่งที่คุณพ่อแข็งแรงมาตลอด แต่เกิดล้มป่วยกะทันหันอย่างรุนแรง มีความทุกข์ทรมานที่เกิดจากการรักษาเมื่อได้ทำ Palliative Care กลับไปอยู่บ้าน ไปทะเลที่อยากไป ใช้เวลากับครอบครัวและจากไปอย่างสงบ
ACP วางแผนดูแลล่วงหน้า
หลักการของ Palliative Care คือให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตเพื่อให้ผู้ป่วยสุขสบายมากที่สุดเท่าที่สามารถทำได้ในช่วงสุดท้ายของชีวิต โดยทีมรักษาประกอบด้วยแพทย์ พยาบาลและนักจิตวิทยาสังคม ร่วมกันดูแลรักษาโรคทางกายไปพร้อมกับดูแลจิตใจสังคมและจิตวิญญาณของผู้ป่วย ลดการรักษาทางการแพทย์ที่ไม่จำเป็นช่วงระยะท้าย เพื่อลดความทุกข์ทรมานและความไม่สุขสบาย มีการเชื่อมต่อการดูแลจากโรงพยาบาลไปยังบ้านจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตผู้ป่วย ให้ความรู้ในการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายอย่างเหมาะสมกับญาติครอบครัวและผู้ดูแลที่ใกล้ชิด ช่วยประคับประคองจิตใจผู้ดูแลให้มีความสุขช่วงเวลาของการดูแลไปจนถึงวันสุดท้ายของผู้ป่วย
ธนาภรณ์ กล่าวว่า Palliative Care จะเริ่มหลังจากที่ผู้ป่วยถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคร้ายหรือรักษาไม่หาย โดยแพทย์จะมีการบอกข่าวร้ายนี้กับผู้ป่วยด้วยวิธีที่ทำให้สบายใจ รู้สึกมีกำลังใจ หลังจากนั้นก็จะเรียกประชุม Family Meeting ทั้งตัวผู้ป่วย ญาติ ซึ่ง Palliative Care จะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อผู้ป่วยสามารถบอกความต้องการตัวเองได้ เมื่อแพทย์ ผู้ป่วยและญาติมาพูดคุยร่วมกัน เรียกว่า Advance Care Planning - ACP เน้นที่ “การสื่อสารและการตัดสินใจร่วมกัน” มากกว่าการจัดทำเอกสาร โดยเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยเป็นผู้กำหนดเป้าหมายและแสดงความพึงพอใจเกี่ยวกับแนวทางการรักษาของตนเอง
"กระบวนการ ACP ให้ความสำคัญกับการพูดคุย ปรึกษา และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกันเกี่ยวกับแนวทางการดูแลในอนาคต มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างรอบด้าน ทั้งทางร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยจะได้รับการดูแลที่สอดคล้องกับความต้องการและศักดิ์ศรีของตนเอง"
Living Will หรือ พินัยกรรมชีวิต
พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ . 2550 มาตรา 12 ระบุว่า “บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อการยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต” หมายความว่า แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ต้องเคารพต่อเจตจำนงที่ระบุไว้ใน Living Will หรือ หนังสือแสดงเจตนาในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือหากเรียกให้เข้าใจง่าย ๆ คือ พินัยกรรมชีวิต
โดย ACP เน้นการสื่อสารสองทาง ระหว่างผู้ป่วยหรือผู้แสดงเจตนากับบุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นการสื่อสารขณะที่ผู้ป่วยมีสติสัมปะชัญญะ Living Will จะเป็นการแสดงเจตจำนงของบุคคลเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลในช่วงท้ายของชีวิตเช่นกัน แต่จะมาใน “รูปแบบเอกสาร” เป็นแนวทางที่ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่สอดคล้องกับความต้องการของตนเอง ขณะที่ตัวผู้ป่วยไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ด้วยตัวเองหรือขณะที่ผู้ป่วยไม่มีสติสัมปชัญญะแล้ว
ด้าน "พิสิษฐ์ ศรีอัคคโภคิน" นิติกรชำนาญการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า Living Will เป็นหนึ่งในเครื่องมือของ Palliative Care เช่นเดียวกับ ACP เพียงแต่ Living Will จะดำเนินการก็ต่อเมื่อ ผู้ป่วยไม่มีสติสัมปะชัญญะ ติดสินใจอะไรเองไม่ได้แล้ว การตัดสินใจสำคัญในวันที่ไม่สามารถตัดสินใจเองได้ จึงสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้การจากไปเป็นไปตามเจตจำนงของเราเอง
ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบ Palliative Care ทั่วประเทศ พร้อมสนับสนุนการจัดทำ Living Will (พินัยกรรมชีวิต) ตามพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ 2550 ผู้สนใจสามารถติดต่อโรงพยาบาลประจำจังหวัดหรือสถานพยาบาลใกล้บ้านเพื่อเข้าถึงบริการนี้ได้
Palliative Care ไม่ใช่การุณยฆาต
การเข้ารับ Palliative Care หรือ การวางแผนดูแลล่วงหน้า Advance Care Planning (ACP) หรือแม้กระทั่ง การเขียน Living Will ไม่ใช่การเลือกตาย แต่เป็นการเลือกใช้ชีวิตให้มีความหมายจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต บางคนอาจอยากฟังเพลงที่คุ้นเคย ไปในที่ที่มีความสุข ได้อยู่ท่ามกลางคนที่รัก แทนที่จะอยู่ในห้อง ICU รายล้อมด้วยเครื่องช่วยหายใจและเสียงสัญญาณเตือนของเครื่องมือแพทย์ ซึ่งไม่ใช่การปฏิเสธการรักษา แต่เป็นการตัดสินใจอย่างมีสติและเจตจำนงว่าชีวิตในวาระสุดท้ายควรเป็นเช่นไร เป็นการเตรียมตัวล่วงหน้าโดยผู้ป่วยยังมีโอกาสปรับเปลี่ยนได้
ไม่ได้เป็นการเร่งหรือยุติชีวิตของผู้ป่วย แต่เป็นการลดการรักษาที่ไม่จำเป็นและไม่ตรงกับความต้องการของผู้ป่วย เช่น การเลือกปฏิเสธการปั๊มหัวใจ (DNR: Do Not Resuscitate) การใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือการให้อาหารทางสายยาง หากไม่มีคุณภาพชีวิตตามที่ได้มีการวางแผนไว้ มุ่งเน้นการให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลแบบประคับประคองอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงคุณภาพชีวิต แตกต่างจาก การุณยฆาต ที่เป็นการยุติชีวิตของผู้ป่วยเพื่อลดความทุกข์ทรมานมักเป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ประเทศไทยยังไม่มีกฏหมายให้ทำได้







