แต่ละช่วงวัย บ่งบอกความเสื่อม เช็กความเสี่ยงโรคที่ควรรู้!!

แต่ละช่วงวัย บ่งบอกความเสื่อม เช็กความเสี่ยงโรคที่ควรรู้!!

ร่างกายของคนเราย่อมมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ยิ่งในช่วงอายุที่แตกต่างกัน ร่างกายย่อมมีความเสื่อม เพราะโดยปกติเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย มักเริ่มเสื่อมในช่วงอายุ 30 ปี เป็นต้นไป แล้วจะดูแลร่างกายอย่างไร

KEY

POINTS

  • ความเสื่อมของร่างกายเกิดจากร่างกายมีสารอนุมูลอิสระมากเกินควร ซึ่งสารอนุมูลอิสระเกิดจากสองแหล่งใหญ่ๆ คือร่างกายเป็นผู้ผลิต และจากภายนอกร่างกาย เช่น แสงแดด มลพิษ ควันบุหรี่ เป็นต้น
  • แต่ละช่วงวัยร่างกายจะมีความเสื่อมที่แตกต่างกัน และขณะนี้การเกิดความเสื่อมในร่างกาย มีแนวโน้มจะเกิดกับคนที่มีอายุน้อยลงเรื่อยๆ ด้วยสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป 
  • การดูแลสุขภาพโดยเริ่มจากควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่  ออกกำลังกายทุกวัน  นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ  และทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส  ไม่เครียด 

ร่างกายของคนเราย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ยิ่งในช่วงอายุที่แตกต่างกัน ร่างกายย่อมมีความเสื่อม เพราะโดยปกติเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย มักเริ่มเสื่อมในช่วงอายุ 30 ปี เป็นต้นไป แต่อาการเสื่อมเริ่มสะสมได้ตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่นและวัยทำงาน จากพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่ไม่ดีต่อสุขภาพ 

โดยความเสื่อมของร่างกายเกิดขึ้นได้ในทุกๆ วัน แต่ก็จะมีการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาซ่อมแซม เป็นกลไกธรรมชาติของร่างกาย แม้กระทั่งเด็กๆ ก็สามารถเกิดความเสื่อมของร่างกายได้เหมือนกัน แต่เป็นการเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยไม่แสดงออกมาให้เห็นภายนอกอย่างชัดเจนเหมือนกับผู้ใหญ่ ที่เมื่ออายุมากขึ้นความเสื่อมของร่างกายก็เกิดมากขึ้นตามด้วยโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกาย เช่น โรคเบาหวาน หัวใจ ความดันโลหิต มะเร็ง เป็นต้น

ในปัจจุบันเราจะเห็นว่าโรคเหล่านี้เริ่มเกิดขึ้นได้ในเด็กมากขึ้น สาเหตุทั้งจากพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม การรับประทานอาหารที่เป็นตัวเร่งความเสื่อมของร่างกายให้เกิดเร็วขึ้นหรือเกิดก่อนวัยอันควร

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

65 ปี มจธ.'มหาวิทยาลัยแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต' เปิดกว้างคนทุกช่วงวัย

อาหารกับโรคมะเร็งทางนรีเวช ความรู้เพื่อการดูแลสุขภาพของคุณ 

ความเสื่อมของร่างกายเกิดจากอะไร?

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าร่างกายเกิดการเสื่อมแซงอายุจริง และมีวิธีสังเกตความเสื่อมของร่างกายได้อย่างไร

พญ.กฤดากร เกษรคำ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านชะลอวัย จาก AddLife Anti-Aging Center ชั้น 2 ไลฟ์เซ็นเตอร์ (คิวเฮ้าส์ ลุมพินี) ได้ให้ข้อมูลว่าความเสื่อมของร่างกายเกิดจากร่างกายมีสารอนุมูลอิสระมากเกินควรสารอนุมูลอิสระเกิดจากสองแหล่งใหญ่ๆ คือร่างกายเราเองเป็นผู้ผลิต ถ้าทานอาหารหวานจัดมันจัด แคลอรี่สูงพักผ่อนน้อย ติดเชื้อบ่อย ก็จะมีสารอนุมูลอิสระมาก อีกแหล่งใหญ่คือ จากภายนอกร่างกาย เช่น แสงแดด มลพิษ ควันบุหรี่ เป็นต้น

โดยเฉลี่ยคนเราจะเริ่มรู้สึกหรือมีอาการร่างกายเสื่อมเมื่ออายุประมาณ 30 ปี ซึ่งสังเกตได้จากอาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว นอนไม่หลับ ป่วยง่าย เป็นต้น แต่ในปัจจุบันการเกิดความเสื่อมในร่างกาย มีแนวโน้มจะเกิดกับคนที่มีอายุน้อยลงเรื่อยๆ ด้วยสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป มีผลทำให้ร่างกายต้องเผชิญ กับตัวเร่งความเสื่อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในแต่ละช่วงอายุจึงมีโอกาสเกิดความเสื่อมของอวัยวะในร่างกายได้ตามวัย ซึ่งจะสัมพันธ์กับการเกิดโรค วิธีดูแลตนเองจึงควรทานวิตามินเสริมให้เหมาะสม รวมทั้งการดูแลเรื่องอาหาร และการออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญ

4 ช่วงอายุ เสี่ยงโรค-ดูแลอย่างไร?

แต่ละช่วงวัยจะเผชิญความเสื่อมที่แตกต่างกันไป ดังนี้ 

  • ช่วงวัยเด็ก 

เป็นช่วงที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต แต่ความเสื่อมก็อาจเกิดขึ้นได้ การรับประทานอาหารไม่ถูกวิธีทำให้เกิดโรคเบาหวาน โรคอ้วน ดังนั้นการสร้างสุขนิสัยที่ดีเกี่ยวกับการรับประทาน อาหารและออกกำลังกายเป็นเรื่องสำคัญ

  • ความเสื่อมของร่างกาย

วัยเด็ก : ความเสื่อมอาจเกิดขึ้นได้จากพฤติกรรมการใช้ชีวิต รวมถึงโรคทางพันธุกรรมบางอย่าง

1.) ฟันผุ จากการกินขนมหวาน ดื่มน้ำอัดลม และแปรงฟันไม่ถูกวิธีดีพอ

2.) สายตาสั้น จากการอ่านหนังสือในที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอ การดูโทรทัศน์ในระยะใกล้เป็นเวลานานๆ จ้องจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือบ่อยเกินไปโดยไม่มีการพักผ่อนสายตา

3.) ระบบเผาผลาญทำงานผิดปกติ เป็นโรคอ้วน เพราะการกินอาหารไม่ครบ 5 หมู่ หรือกินอาหารขยะมากเกินไป

4.) ร่างกายไม่เจริญเติบโต เนื่องจากโรคทางพันธุกรรม

5.) ร่างกายแคระแกร็น จากการขาดสารอาหารและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย

6.) ขาดวิตามินดีที่ช่วยเสริมสร้างกระดูก เพราะไม่ค่อยได้รับแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า

  • ช่วงวัย 20 ปี

เป็นวัยเริ่มทำงาน มักนอนดึก พักผ่อนน้อย ไม่มีโอกาสดูแลเรื่องอาหาร แต่เนื่องจากอายุขัย ความเสื่อมอาจยังไม่มาก แต่ทั้งนี้หากไม่ดูแลตัวเองร่างกายก็เสื่อมได้เช่นกัน

  • ความเสื่อมของร่างกาย

1.) การพักผ่อนไม่เพียงพอและกินอาหารไม่เป็นเวลา ส่งผลให้เป็นโรคกระเพาะอาหาร โรคกรดไหลย้อน เพราะการทำงานของอวัยวะผิดปกติไป

2.) กระดูกมีความเสื่อมจากพฤติกรรมต่างๆ เช่น การสวมรองเท้าส้นสูงติดต่อกันเป็นเวลานาน การนั่งทำงานด้วยท่าที่ไม่ถูกต้องจนเกิดออฟฟิศซินโดรม ฯลฯ

3.) เส้นผมเสื่อมสภาพ จากการใช้ความร้อน สารเคมีต่างๆ ในการจัดแต่งทรงผมหรือทำสีเป็นประจำ

4.) กล้ามเนื้อบาดเจ็บจากการออกกำลังกายแบบหักโหมหรือผิดวิธี

  • ช่วงวัย 30-40 ปี 

เริ่มสร้างครอบครัว มีภาระความรับผิดชอบค่อนข้างสูง ความเครียดเกิดขึ้นระดับฮอร์โมนเริ่มลดลง เริ่มมีอาการอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น ปวดศีรษะ ปวดหลัง 

  • ความเสื่อมของร่างกาย

1.) ผิวหนังเริ่มมีความแห้งกร้าน ไม่สดใส เมื่อนอนน้อย

2.) ใบหน้าเริ่มมีริ้วรอย รูขุมขนกว้างและเริ่มหย่อนคล้อย เพราะการทำงานของอิลาสตินใต้ชั้นผิวเสื่อมสภาพ

3.) ระบบการเผาผลาญอาหารเริ่มทำงานได้ไม่ดี อ้วนง่าย ควบคุมน้ำหนักได้ยากขึ้น ควรเริ่มระวังอาหารประเภทที่มีแคลอรี่สูง ไขมันสูง และอาหารหวาน

4.) ระดับฮอร์โมนในร่างกายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง

5.) รู้สึกเหนื่อยง่าย เพลียง่ายหากใช้ร่างกายหนัก

6.) มีอาการตาแห้ง สายตายาว

7.) ผู้หญิงช่วงปลายของวัยนี้เริ่มเข้าสู่ภาวะวัยทอง อาจมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย ประจำเดือนเริ่มผิดปกติ ประจำเดือนมาน้อยลง อารมณ์แปรปรวนง่าย วิตกกังวลและซึมเศร้าง่าย

8.) ผู้ชายช่วงปลายของวัยนี้บางคนเริ่มมีความสนใจทางเพศลดลง ความต้องการมีความถี่น้อยลง เพราะระดับฮอร์โมนในร่างกายลดลง

9.) นอนหลับไม่สนิท นอนหลับยาก กระสับกระส่ายเวลานอน หลับไม่สบาย

  • ช่วงวัย 50 ปีขึ้นไป 

อาการต่างๆ จะชัดเจนมากขึ้น เริ่มนอนไม่หลับ หลับไม่สนิท สมรรถภาพทางเพศลดลง ผิวพรรณเริ่มมีริ้วรอยเหี่ยวย่น ตรวจสุขภาพเริ่มพบปัญหาไขมันหรือน้ำตาลในเลือดสูง เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ เบาหวาน ความจำเสื่อม ซึ่งภาวะเหล่านี้ป้องกันได้ โดยเริ่มต้นตั้งแต่ลดสารอนุมูลอิสระ รับประทานอาหารไม่หวานจัดมันจัด หรือเค็ม รับประทาน

  • ความเสื่อมของร่างกาย

1.) สายตาเริ่มลดความคมชัดลง มีอาการพร่ามัว

2.) เริ่มนอนไม่หลับ หลับไม่สนิท

3.) สมรรถภาพทางเพศลดลง

4.) การทำงานของเหงือกและฟันเริ่มมีปัญหา มีปัญหาเรื่องการเสียวฟันและปัญหารากฟัน

5.) มีปัญหาเรื่องการกลืนหรือสำลัก ดื่มน้ำหรือของเหลวก็ทำได้ยากลำบากเพราะการเคลื่อนตัวของหลอดอาหารลดลง มีกรดไหลย้อนง่ายขึ้น กินรสจัดได้น้อยลง รู้สึกแสบท้องได้ง่าย

6.) ลิ้นรับรสแย่ลงหรือผิดเพี้ยนไป

7.) กระดูกสันหลังมีปัญหา เคลื่อนไหวได้ช้าลง

8.) มีปัญหาเรื่องการขับถ่าย มีอาการปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะลำบาก

9.) ผิวพรรณเริ่มมีริ้วรอยเหี่ยวย่นและหย่อนคล้อยแบบเห็นได้ชัด

10.) ตรวจสุขภาพเริ่มพบปัญหาไขมันหรือน้ำตาลในเลือดสูง เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ เบาหวาน ความจำเสื่อม ซึ่งภาวะเหล่านี้ป้องกันได้

11.) มีอาการข้อเข้าเสื่อมที่ชัดเจนขึ้น มีอาการเจ็บหรือปวดเมื่อต้องเดิน ยืน หรือนั่งเป็นเวลานานๆ

12.) เข้าสู่ภาวะวัยทอง มีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกายและจิตใจ

13.) เริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยินเพราะการทำงานของหูเริ่มเสื่อมสภาพ

14.) ผู้หญิงจะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านฮอร์โมนเร็วกว่าผู้ชาย โดยเริ่มมีประจำเดือนผิดปกติ ประจำเดือนขาด และเข้าสู่ช่วงหมดประจำเดือน (วัยทอง) บางคนมีอาการร้อนวูบวาย เหงื่อซึม อารมณ์แปรปรวน ซึมเศร้าหรือหดหู่ง่าย

15.) ผู้ชายมีปัญหาเรื่องต่อมลูกหมากโต มีอาการปัสสาวะติดขัด

16.) เริ่มมีความเสื่อมของสมอง ขี้ลืมมากขึ้น บางคนประสบภาวะอัลไซเมอร์

17.) มีอาการหูตึง มีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยินเพราะการทำงานของหูเสื่อมสภาพ

18.) ปุ่มเล็กๆ ในลำไส้เล็กที่ทำหน้าที่ดูดซึมสารอาหาร จะทำงานได้น้อยลง

19.) ระดับฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายลดลง ส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึก บางคนฉุนเฉียวโกรธง่าย บางคนอาจเกิดความน้อยใจง่าย

20.) มีโรคประจำตัวทั้งจากทางพันธุกรรมและพฤติกรรมที่ทำสะสม เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต โรคนิ่ว โรคต่อมลูกหมากอักเสบ ฯลฯ

วิธีการดูแลสุขภาพในแต่ละวัย

อ.นพ.สมบูรณ์  อินทลาภาพร ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่าการดูแลสุขภาพ ย่อมดีกว่าการมาหาหมอเพื่อรับการรักษา โดยการดูแลตนเองและคนที่คุณรักให้มีสุขภาพดี ครอบคลุมทุกช่วงอายุ จะเน้นการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคเป็นสำคัญ โดยเด็กเล็ก เน้นเรื่องพัฒนาการและการเรียนรู้ วัยรุ่น เน้นทางด้านจิตใจและสังคม วัยทำงาน เน้นการดูแลพฤติกรรมเสี่ยง  ส่วนผู้สูงอายุ เน้นการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอย่างต่อเนื่อง  

ช่วงที่ 1  อายุ  0-6 ปี  เริ่มจากหญิงตั้งครรภ์ควรไปฝากครรภ์และตรวจสม่ำเสมอ  เพื่อให้ทารกในครรภ์ได้รับการดูแลและคลอดอย่างปลอดภัยโดยแพทย์ จากนั้นจนถึงอายุ 6 ปี ทารกต้องได้รับวัคซีนพื้นฐานครบถ้วน และได้รับการตรวจทางด้านพัฒนาการ  การเรียนรู้  และพฤติกรรมต่าง ๆ

ช่วงที่ 2  อายุ 7-18 ปี  สิ่งที่สำคัญ  คือ  การเตรียมตัวให้วัยนี้เป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรงทั้งด้านร่างกาย และจิตใจ  มีอารมณ์ที่แจ่มใส  มีภูมิคุ้มกันทางความคิด  สามารถดูแลตนเองให้ห่างไกลจากยาเสพติด  โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์  หรือการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อมในวัยรุ่น  เพื่อเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพต่อไป

ช่วงที่ 3  อายุ 19-60 ปี   เป็นวัยทำงาน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยาวถึง  40  ปี  มักมีเวลาในการดูแลสุขภาพตนเองน้อย ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ โดยวัยนี้มักเป็นโรคที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคจากบุหรี่ สุรา หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน เช่น ปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อ โรคเครียด เป็นต้น จึงจำเป็นต้องตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ เพื่อให้เข้าสู่วัย 60 ปี เป็นผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดี

ช่วงที่  4  อายุ ตั้งแต่  60  ปี ขึ้นไป วัยนี้ถือเป็นวัยสูงอายุ นอกจากมีความเสื่อมถดถอยของร่างกายแล้ว บางรายยังมีโรคประจำตัวด้วย สำหรับผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว  ควรรับการตรวจรักษาสม่ำเสมอและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง หากมีอาการผิดปกติควรพบแพทย์ เพื่อให้การรักษาที่ถูกต้อง ก็จะทำให้มีสุขภาพดีได้อย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับผู้สูงอายุทั่วไป ที่ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่  ออกกำลังกายทุกวัน  นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ  และทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส  ไม่เครียด 

อ้างอิง: สสส.,คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล , lifecenterthailand