65 ปี มจธ.'มหาวิทยาลัยแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต' เปิดกว้างคนทุกช่วงวัย

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ก้าวเดินเข้าสู่ปีที่ 65 ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ประกาศวิสัยทัศน์ “ภูมิปัญญา 65 ปี สู่วิถีแห่งความยั่งยืน”
KEY
POINTS
- ครบรอบ 65 ปี มจธ.ประกาศวิสัยทัศน์ “ภูมิปัญญา 65 ปี สู่วิถีแห่งความยั่งยืน” และการเป็น "มหาวิทยาลัยแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต" เปิดกว้างสำหรับทุกช่วงวัย ทุกสถานะ
- เปิดแพลตฟอร์ม 3 ระบบ “OneKMUTT”, “Learning Journey” และ “Credit Bank” ด้วยการส่งเสริมความเท่าเทียมทางการศึกษา วิจัย และนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน
- เรียนรู้แบบโมดูล สร้างอัตลักษณ์เด็กมจธ. “รู้จริง ทำได้ ขายเป็น และมี Mindset" มีทักษะคิดวิเคราะห์ ภาษา การสื่อสาร และมองเรื่องความเป็นไปได้
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ก้าวเดินเข้าสู่ปีที่ 65 ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ประกาศวิสัยทัศน์ “ภูมิปัญญา 65 ปี สู่วิถีแห่งความยั่งยืน” ต่อยอดสู่การเป็น “มหาวิทยาลัยแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต” (Lifelong Learning University) เต็มรูปแบบ
“มจธ.” หรือที่ใครๆมักเรียกว่า “พระจอมเกล้า หรือ บางมด”หนึ่งในมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐที่เน้นการเรียนการสอนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดสอนระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก รวมถึงหลักสูตร Non-Degree มุ่งสร้างบัณฑิตเป็นเลิศทางวิชาการ และทำงานได้จริง (Practical Excellence) พร้อมเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงของสังคม (Social Change Agent) ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของคนทุกช่วงวัย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
มจธ.'มหาวิทยาลัยแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต'
รศ.ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เปิดเผยว่าปีนี้ มจธ. ครบรอบ 65 ปี ซึ่งได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องโดยมีภูมิปัญญา มีองค์ความรู้ มีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้แก่ประเทศให้มั่นคง มั่นคั่ง และยั่งยืน ปีนี้จึงได้ประกาศธีมวิสัยทัศน์ “ภูมิปัญญา 65 ปี สู่วิถีแห่งความยั่งยืน” และหน้าที่หลักของมหาวิทยาลัย คือ การศึกษา มจธ.ตั้งเป้าเป็นการศึกษาสำหรับคนทุกช่วงวัย และเป็นมหาวิทยาลัยแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพราะฉะนั้น ทุกช่วงวัยต้องเข้ามาเรียนรู้ที่มจธ. ได้ตลอดเวลา
“มจธ.ได้มีการปรับหลักสูตร การเรียนการสอนมาเกือบจะ 2 ปี โดยทุกหลักสูตร วิชาไหนที่สามารถเป็นวิชาชีพได้ ซึ่งมจธ.เป็นมหาวิทยาลัยที่เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ ให้ปรับเป็นโมดูลทั้งระบบ เช่น เปิดหลักสูตรมา 2 สัปดาห์และได้ทักษะตามที่ต้องการ หลักสูตรจะมีการแปรรูปให้ตอบโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรม แรงงาน และลักษณะของนักศึกษาคนรุ่นใหม่มากขึ้น”อธิการบดี มจธ. กล่าว
ขณะเดียวกัน ยังเปิดโอกาสให้นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หรือมัธยมศึกษาปีที่ 6 สามารถมาเรียนวิชาพื้นฐาน อาทิ ฟิสิกส์ เคมี คณิตศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัย และเมื่อเขาเรียนได้จะมีการเก็บหน่วยกิตและเขาไม่ต้องเรียน หรือกลุ่มที่ทำงานแล้วอยากได้ปริญญาอีกใบ สามารถเรียนสะสมหน่วยกิตได้เช่นเดียวกัน ซึ่งมจธ.ได้ทำหลักสูตรให้ทุกคนสามารถเข้ามาเรียนได้ตลอดชีวิต
3 ระบบส่งเสริมการเรียนรู้ของคนทุกช่วงวัย ทุกสถานะ
อธิการบดี มจธ. กล่าวต่อว่าด้วยเทรนด์การศึกษา และการเปลี่ยนแปลงของโลก ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของโครงสร้างประชากร เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และตอนนี้คอร์สออนไลน์ มีเป็น 100 แห่งที่เปิดสอน สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นปัจจัยที่จะทำให้ มจธ. หรือมหาวิทยาลัยไทยๆ ต้องสร้างคุณค่าในตนเองให้คนมาเรียน เพราะหากไม่ปรับในอีก 5-10 ปี คนจะไปเรียนออนไลน์หมด เนื่องจากใครๆ ก็เข้าถึงองค์ความรู้ได้ง่ายขึ้น มจธ. จะสร้างคุณค่าของการเป็นมหาวิทยาลัยแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต
“การเรียนรู้จากประสบการณ์ หรือการรู้จริง ทำได้ และขายเป็น คือ รู้จริง หรือรู้พื้นฐานอย่างเชี่ยวชาญ ตอนนี้มจธ.จะเปิดโอกาสให้คนทุกช่วงวัย ทุกสถานะ ทั้งเด็กม.ปลาย อาชีวะ วัยทำงาน ผู้สูงอายุ หรือผู้พิการ ก็สามารถเข้ามาเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ โดยมจธ.จะมีระบบ Credit Bank ที่จะทำให้ผู้เรียนสามารถสะสมและโอนย้ายหน่วยกิตจากหลักสูตร Non-Degree มาสู่หลักสูตร Degree ได้”รศ.ดร.สุวิทย์ กล่าว
การจะเป็น “มหาวิทยาลัยแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต” ได้นั้น มจธ.ได้มีการสร้างโอกาสทางการศึกษาที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน ทุกวัย ทุกอาชีพ และทุกสถานะทางสังคม ด้วยการส่งเสริมความเท่าเทียมทางการศึกษา วิจัย และนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “Excellent, Affordable, Fair and Transparent Higher Education for All” ที่จะดำเนินการผ่าน 3 ระบบสำคัญ คือ “OneKMUTT”, “Learning Journey” และ “Credit Bank” ได้แก่
“OneKMUTT เป็นแพลตฟอร์มปฏิรูปรูปแบบการอุดมศึกษาเปิดโอกาสให้การเรียนรู้เข้าถึงทุกช่วงวัย ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางข้อมูลการเรียนรู้ที่ให้ทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงความรู้และทักษะใหม่ๆ ได้ง่ายและสะดวก พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการด้านการเรียนรู้ต่างๆ ของ มจธ.ที่ผู้สนใจสามารถเข้าเรียนรู้ได้ตามความสนใจของแต่ละคน ประกอบด้วย
- KMUTTWORKS: โปรแกรมส่งเสริมความร่วมมือในการออกแบบหลักสูตรร่วม (Co-Design) ระหว่าง มจธ. และองค์กรภายนอก
- KMUTT PWDS: โปรแกรมพัฒนาทักษะอาชีพและทักษะการดำรงชีวิตสำหรับคนพิการ ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 12 ที่ได้ดำเนินการ และเป็นโมเดลที่ทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นำไปเป็นต้นแบบ โดยผู้พิการที่ผ่านการอบรมจะมีงานทำประมาณ 50% แต่ทุกคนที่เขาร่วมเขาจะรู้สึกว่ามีศักดิ์ศรี พึ่งพาตนเองได้ มีความภาคภูมิใจในตนเอง
- KMUTT Smart Senior: โปรแกรมส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในโลกดิจิทัล ซึ่งจะมีการเปิดโรแกรมการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับกลุ่มผู้สูงอายุให้รู้เท่าทันโลกดิจิทัล หรือมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ AI รวมถึงเรื่องของสุขภาพ และอาหาร เป็นต้น โดยจะเริ่มเปิดสอนในปี 2568 เป็นปีแรก
- OBEM: โมดูลการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ สะสมหน่วยกิตได้ พร้อมความยืดหยุ่นสำหรับผู้เรียนทุกคน
- 4lifelong learning: ระบบการรับรองสมรรถนะในรูปแบบ Micro-Credentials
รศ.ดร.สุวิทย์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนของ Learning Journey นั้น เป็นการสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ที่ครอบคลุมและตอบสนองตลาดแรงงานยุคใหม่ เพื่อให้เขาสามารถมองเห็นเส้นทางการพัฒนาตนเองไปสู่อาชีพและอนาคตของตนเองได้อย่างชัดเจน สามารถวางแผนการเรียนรู้ตามงานที่สนใจ (Job-Based Learner Journey) และต่อยอดไปสู่การวางแผนการเรียนรู้เฉพาะบุคคล (Personalized Learner Journey) ในอนาคต มีระบบ Credit Bank ที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถสะสมผลการเรียนรู้ได้อย่างยืดหยุ่นทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย
“เป้าหมายภายใต้วิสัยทัศน์ดังกล่าวว่า ในปีนี้ต้องการให้มีสมาชิกลงทะเบียนในแพลตฟอร์ม OneKMUTT ที่ มจธ. ตั้งใจให้เป็นแพลตฟอร์มปฏิรูปรูปแบบการอุดมศึกษาที่เปิดโอกาสให้การเรียนรู้เข้าถึงคนทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัยไม่น้อยกว่า 165,000 คน มีหลักสูตร Non-Degree เปิดให้สมัครและเรียนรู้ไม่น้อยกว่า 365 หลักสูตร และมุ่งพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ไม่ต่ำกว่า 65 นวัตกรรม นอกจากนี้ มจธ. มุ่งเสริมสร้าง AI Literacy ให้แก่นักศึกษาไม่น้อยกว่า 6,500 คน และบุคลากรไม่น้อยกว่า 650 คน เพื่อให้มีความรู้และทักษะเท่าทันกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์”อธิการบดี มจธ. กล่าว
เน้นทักษะพื้นฐาน รู้จริง ทำได้ ขายเป็น มีMindset
ทั้งนี้ ความมุ่งมั่นของ มจธ. ที่จะพัฒนากำลังคนและให้บริการแพลตฟอร์มด้านการเรียนรู้ที่รองรับคนทุกกลุ่มทุกช่วงวัย ตั้งแต่เด็กก่อนวัยเรียน คนทำงาน ผู้บริหาร ผู้ด้อยโอกาส คนพิการและผู้สูงวัย ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเน้นการเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential Learning) จากผู้เชี่ยวชาญและนวัตกรรมการเรียนรู้ของ มจธ. ที่จะทำให้ผู้เรียนได้ทั้งความรู้และทักษะที่สามารถนำไปประกอบอาชีพได้จริง
รวมถึง เตรียมพร้อมขยายเครือข่ายความร่วมมือทั้งกับสถานศึกษาและองค์กรอื่นๆ โดยในส่วนของสถานศึกษาจะเป็นการต่อยอดความร่วมมือในในรูปแบบ KMUTT-School/ Company/Community Consortium ที่จะเพิ่มจำนวนโรงเรียนในเครือข่ายไม่น้อยกว่า 365 โรงเรียน ล่าสุดได้มีกิจกรรมลงนามบันทึกข้อตกลงทางวิชาการระดับมหาวิทยาลัยกับโรงเรียนมัธยมและอาชีวศึกษาทั่วประเทศจำนวนกว่า 200 โรงเรียน ส่วนขององค์กรอื่นๆ นั้นก็จะมีการขยายความร่วมมือกับบริษัทและชุมชนอีกไม่น้อยกว่า 65 หน่วยงาน
“เราให้ความสำคัญในเรื่องของพื้นฐานปริญญาตรี ซึ่งพยายามจะทำให้ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง เพราะความรู้ในปัจจุบัน ต้องยอมรับว่า AI สามารถทำได้ แต่หากมีทักษะความรู้พื้นฐานในสาขาวิชานั้นๆ คิดวิเคราะห์ นำไปบูรณาการใช้ได้ นั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น เนื่องจากผู้เรียนจะสามารถประยุกต์ไปสู่การเรียนรู้ในสาขาอื่นๆ หรือการทำงานได้ไม่ยาก”รศ.ดร.สุวิทย์ กล่าว
อัตลักษณ์ของเด็กมจธ. ยังคงเดิม ต้อง “รู้จริง ทำได้ ขายเป็น และมี Mindset" พร้อมทั้งมีทักษะคิดวิเคราะห์ ภาษา การสื่อสาร และมองเรื่องความเป็นไปได้ เช่น วิศวกรรมศาสตร์เรียนจบออกไป ไม่ใช่เพียงคิดค้นพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ แต่พวกเขาสามารถใช้ได้เป็น มีความเข้าใจ AI และปรับตัวประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงสามารถขายไอเดีย หรือนำเสนอสิ่งที่คิดค้นพัฒนาขึ้นได้ สื่อสาร หรืออยากเป็นเจ้าของก็จะมีทักษะด้านสตาร์ตอัปร่วมด้วย
เมื่อ มจธ.มีการปรับหลักสูตร และการวัดประเมินผลเป็นแบบโมดูล ฉะนั้น อาจารย์และบุคลากรด้านการเรียนการสอน การวิจัยของมหาวิทยาลัยซึ่งมีประมาณ 900 กว่าคน จะต้องได้รับการพัฒนา ฝึกอบรม โดยเรามีแผน KMUTT-Professional Standards Framework (KMUTT-PSF) ซึ่งจะเป็นการพัฒนาผู้เชี่ยวชาญสู่การเป็นผู้ประเมิน ในการพัฒนาบุคลกรที่มีความเชี่ยวชาญของแต่ละสาขา อาจารย์ทุกคนจะได้เรียนรู้การออกแบบหลักสูตรที่ดี การประเมิน จะสอนให้เด็กรู้จักคิดจะมีการกำหนดไว้ใน Framework
“มจธ.เป็นมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อาจรย์และนักวิจัยของเราได้มีความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม และภาคเอกชน ในการเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอน การพัฒนาพื้นฐานเรื่องของเทคโนโลยีที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และนำไปบูรณาการ หรือประยุกต์ใช้ได้ เป็นมหาวิทยาลัยที่เปิดกว้างสำหรับทุกคน”รศ.ดร.สุวิทย์ กล่าว
ปลูกฝังร่วมเป็นส่วนหนึ่งแก้ความเหลื่อมล้ำประเทศ
รศ.ดร.สุวิทย์ กล่าวต่อไปว่าความเหลื่อมล้ำในสังคมมีมากขึ้นเรื่อยๆ หากไม่ช่วยกันประเทศไทยจะเกิดความวุ่นวาย ขณะนี้ คน 1% ของประเทศไทยเท่านั้นที่ถือครองทรัพย์สินประมาณ 60% ของประเทศ มจธ.พยายายามปลูกฝังให้นักศึกษาเข้าใจสังคม เข้าใจความเหลื่อมล้ำมากขึ้น และหากมีโอกาสขอให้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคม เพราะการสอนนักศึกษา ไม่ใช่เพียงการให้องค์ความรู้ แต่ต้องปลูกฝังให้พวกเขามองเรื่องของความเหลื่อมล้ำ
“เรามีกิจกรรมให้นักศึกษา บุคลากรของมหาวิทยาลัยได้เห็นสภาพสังคมและเข้าใจสังคมมากขึ้น ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ และเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แสดงออก เพราะคนรุ่นใหม่เขาจะมีมุมมองการใช้ชีวิตที่แตกต่างจาก Gen อื่นๆ มหาวิทยาลัยต้องปรับ เปิดกว้าง เช่น งานแสดงดนตรี หรืองานเสวนา ดีเบต นำเสนอนโยบายทางด้านการเมือง มหาวิทยาลัยจะเปิดกว้างให้พวกเขาได้จัดในพื้นที่ของมหาวิทยาลัย แต่ต้องให้ทุกพรรคมาแสดงนโยบายอย่างเท่าเทียม และนักศึกษาจะต้องดูเรื่องของความปลอดภัยควบคู่ไปกับมหาวิทยาลัยที่จะเข้าไปช่วยสนับสนุน เป็นต้น” อธิการบดีมจธ. กล่าว
มจธ. มีการพัฒนาและปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งเปิดหลักสูตรใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์การผลิตบุคลากรรองรับการทำงานในสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคต เช่น หลักสูตร Carbon Neutrality , หลักสูตร Ph.D in Sustainable Energy Systems(ระบบพลังงานที่ยั่งยืน) ,หลักสูตรด้าน EV ,หลักสูตร Data Analytics ,หลักสูตร Smart Systems Engineering เป็นต้น
นอกจากนั้น ทางมจธ.ได้มีการทำความร่วมมือกับกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.) ในการจัดตั้ง "Hub of Knowledge" หรือ ศูนย์กลางแห่งความรู้ เพื่อเสริมสร้างการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเครื่องมือและเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึงการให้ความรู้ในการรับมือกับภัยไซเบอร์ต่างๆ ให้ประชาชนทั่วไปที่จะดำเนินการผ่านแพลตฟอร์ม OneKMUTT ของ มจธ. และแอปพลิเคชัน ‘Cyber Check’ ของ สอท.