ปลูกถ่ายอวัยวะ จุดประกายชีวิตใหม่ผู้ป่วย

ปลูกถ่ายอวัยวะ  จุดประกายชีวิตใหม่ผู้ป่วย

ปัจจุบันทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนอวัยวะปลูกถ่าย โดยข้อมูลGlobal Observatory on Donation and Transplantation(GODT) ระบุว่าในปี 2022 ทั่วโลกมีการปลูกถ่ายอวัยวะทั้งหมดเพียง 157,494 ครั้ง และ‘ไต’ เป็นอวัยวะที่ได้รับการปลูกถ่ายมากที่สุดในโลก

รองลงมาคือ ตับ และหัวใจ และยังมีผู้ป่วยจำนวนมากที่รอการปลูกถ่ายอวัยวะ ขณะที่ข้อมูลของประเทศไทย ล่าสุด ณ วันที่31 ธันวาคม 2567 จากศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย ระบุว่า มีจำนวนผู้ป่วยที่รอการปลูกถ่ายอวัยวะ สูงถึง7,486รายซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดย 95% เป็นผู้ป่วยที่รอ ‘ไต’ รองลงมา คือ ตับ หัวใจ ปอด และตับอ่อน ขณะเดียวกันมีผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะแล้วเพียง 946 รายและจะมีผู้เสียชีวิตระหว่างรอคอยการปลูกถ่ายอวัยวะ เฉลี่ยสัปดาห์ละ 2 ราย 

รศ.นพ. ทวีสิน ตันประยูร ประธานปฏิบัติการด้านการแพทย์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์  กล่าวในงานแถลงข่าว‘Bumrungrad Transplant Services:Where Life Gets a Second Chance’ ว่าการปลูกถ่ายอวัยวะ เปรียบเสมือนความหวังใหม่และอีกโอกาสที่ทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับมามีชีวิตใหม่ที่สมบูรณ์มากขึ้น ปัจจุบัน บำรุงราษฎร์ เป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ได้รับให้เป็นศูนย์การปลูกถ่ายอวัยวะหัวใจ ไต ตับ และกระจกตา จากศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย และสามารถปลูกถ่ายอวัยวะได้ครบทั้ง 3 อวัยวะ และ 1 เนื้อเยื่อ ได้แก่ ‘หัวใจ ไต ตับ และกระจกตา’ ซึ่งการปลูกถ่ายอวัยวะถือเป็นการผ่าตัดที่มีความซับซ้อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

'ชวนบริจาคอวัยวะ' ระบุผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังรอปลูกถ่ายอวัยวะกว่า 6,000 คน

เมื่อ 'บริจาคอวัยวะ'  ไม่ใช่แค่อวัยวะ ที่ถูกนำมาทำการปลูกถ่าย

"ไต" รอการปลูกถ่ายอวัยวะมากที่สุดในโลก 

ทั้งนี้ ไต เป็นอวัยวะที่ได้รับการปลูกถ่ายบ่อยที่สุดในโลก โดยกลุ่มที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการปลูกถ่ายไต คือ ผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้าย ทั้งในกลุ่มที่ได้รับการบำบัดทดแทนไต หรือ ยังไม่ได้รับการบำบัดทดแทนไตสามารถปลูกถ่ายไตได้ ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องได้รับการประเมินความพร้อมด้านสุขภาพก่อนเข้ารับการปลูกถ่ายไตจากสหสาขาวิชาชีพ อาทิ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านหัวใจ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านจิตเวช แพทย์ผู้ชาญการด้านศัลยศาสตร์การปลูกถ่ายอวัยวะ เป็นต้น

ที่ผ่านมา บำรุงราษฎร์ได้ดำเนินการปลูกถ่ายไตให้กับผู้ป่วยมากว่า 37 ปี ให้บริการครอบคลุมตั้งแต่การตรวจวินิจฉัยในระยะเริ่มต้น การดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง และการรักษาผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้ายด้วยการปลูกถ่ายไต และสามารถปลูกถ่ายไตผู้ป่วยได้ตั้งแต่อายุไม่ถึง 10 ปี จนถึงอายุมากกว่า 80 ปี รวมถึงผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวหลายโรค

โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บำรุงราษฎร์มีอัตราความสำเร็จในการปลูกถ่ายไตสูงกว่า 90 % เทียบเท่ามาตรฐานระดับโลกอย่างสหรัฐอเมริกา แคนาดา และยุโรปตะวันตก และยังสามารถทำการปลูกถ่ายไตข้ามหมู่เลือดได้สำเร็จ ทำให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างครบวงจรและมีโอกาสกลับมามีชีวิตที่สมบูรณ์ได้อีกครั้ง

ปลูกถ่ายอวัยวะ  จุดประกายชีวิตใหม่ผู้ป่วย

ปลูกถ่ายอวัยวะ การรักษาช่วยยืดอายุ เพิ่มคุณภาพชีวิต

‘การปลูกถ่ายหัวใจ’ จึงเป็นการรักษาขั้นสูงสุดที่ช่วยยืดอายุและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วย ปัจจุบันการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจถือว่าประสบความสำเร็จสูง จากสถิติผู้ป่วยมีอัตรารอดชีวิตมากถึง 85-90 % ซึ่งหากผู้ป่วยไม่ได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจในช่วงเวลาที่เหมาะสม ส่วนใหญ่อาจเสียชีวิตภายในระยะเวลาเพียง 1-2 ปี

เป็นทางเลือกในการรักษาที่สำคัญสำหรับผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวขั้นสุดท้าย เพราะเป็นการรักษาที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพสูง โดยการแทนที่หัวใจที่เสียหายด้วยหัวใจดวงใหม่จากผู้บริจาค ทำให้หัวใจสามารถทำงานได้เป็นปกติอีกครั้ง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ทั้งนี้ ก่อนการผ่าตัด แพทย์จำเป็นต้องประเมินสภาพร่างกายและสภาพจิตใจของผู้ป่วยอย่างละเอียดเพื่อให้มั่นใจการผ่าตัดจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และหลังการผ่าตัด ผู้ป่วยจะต้องอยู่ที่โรงพยาบาลประมาณ 1-3 สัปดาห์ ซึ่งจะมีหน่วยดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจขั้นวิกฤต ที่จะดูแลผู้ป่วยหลังการผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา บำรุงราษฎร์ สามารถผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจให้กับผู้ป่วย 5 รายได้สำเร็จ และสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ผู้ที่ต้องปลูกถ่ายอวัยวะตับ 

โรคที่จำเป็นต้องได้รับการปลูกถ่ายตับ ได้แก่

1. ภาวะตับวายเฉียบพลัน มักเกิดกับผู้ป่วยที่ไม่ได้เป็นโรคตับมาก่อน ส่วนใหญ่เกิดจากการใช้ยาเกินขนาดหรือเกิดจากเชื้อไวรัสตับอักเสบ

2. โรคทางพันธุกรรม เช่น โรคที่ทำให้มีการสะสมสารบางอย่างในตับผิดปกติ ส่งผลต่อการทำงานของตับและอวัยวะอื่น ๆ

3. ภาวะตับอักเสบเรื้อรังจนทำให้เป็นตับแข็งระยะท้ายที่มีภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยยาหรือเทคนิคการรักษาอื่น ๆ ซึ่งเกิดหลายสาเหตุด้วยกัน เช่น การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบและเชื้อไวรัสอื่น ๆ การดื่มสุรามากเกินไปเป็นระยะเวลานานและโรคไขมันพอกตับ

4. โรคมะเร็งตับ ขึ้นอยู่กับขนาดของก้อนและสภาพของตับว่าเหมาะสมกับการปลูกถ่ายตับหรือไม่ หากเป็นในระยะแรกเริ่ม แพทย์สามารถรักษาได้ด้วยวิธีการอื่น ซึ่งการรักษาด้วยการปลูกถ่ายตับจะช่วยยืดอายุและเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วยให้ดีขึ้น

การรักษาด้วยการปลูกถ่ายตับ จะทำให้ร่างกายของผู้ป่วยกลับมาทำงานได้เป็นปกติมากขึ้น ทั้งในส่วนของการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ดีขึ้น โดยตับใหม่จะทำหน้าที่ในการกำจัดสารพิษในร่างกาย สร้างโปรตีน และผลิตน้ำดี ทำให้การทำงานของอวัยวะอื่น ๆ เช่น ไต หัวใจ และสมองกลับมาเป็นปกติ รวมถึงอาการที่เกิดจากโรคตับจะทุเลาลง เช่น อาการเหนื่อยง่าย บวม อาเจียน ก็จะทุเลาลงหรือหายไป ส่งผลให้ผู้ป่วยมีแรงมากขึ้น ทำกิจวัตรประจำวันได้มากขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงมีอายุขัยที่เพิ่มขึ้น

ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายตับ จะมีอัตราการรอดชีวิตสูงถึง 97 % ในปีแรก, 82 % ใน 5 ปี และ 67 % ใน 10 ปี ซึ่งถือเป็นอัตราความสำเร็จที่สูง สะท้อนให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญของทีมแพทย์และการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาปรับใช้ และด้วยประสบการณ์กว่า 22 ปีในการปลูกถ่ายตับ ซึ่งคลินิกโรคตับเป็นหนึ่งใน 8 คลินิกเฉพาะทางของศูนย์ทางเดินอาหาร-ตับ ที่ดูแลรักษาผู้ป่วยมากกว่า 42,000 รายต่อปี และสามารถดูแลรักษาโรคตับได้อย่างครอบคลุม เช่น ตับอักเสบเฉียบพลัน ตับอักเสบเรื้อรัง ก้อนเนื้อในตับ ไขมันพอกตับ และมะเร็งตับ จนถึงการผ่าตัดปลูกถ่ายตับ ทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอีกครั้ง