เช็ก! พฤติกรรมร้าย ทำลายสุขภาพของคนวัยทำงาน

เช็ก! พฤติกรรมร้าย ทำลายสุขภาพของคนวัยทำงาน

“เดอะแบก” กลายเป็นฉายาของ "วัยทำงาน" ซึ่งเป็นช่วงวัยที่ต้องแบกรับภาระมากมายทั้งเรื่องหน้าที่การงานไปจนถึงชีวิตครอบครัวที่แต่ละบ้านมีปัญหาแตกต่างกัน 

KEY

POINTS

  • พฤติกรรมคลาสสิคคนวัยทำงานในยุคแห่งความเร่งรีบ แล้วทำลายสุขภาพ ได้แก่  อดอาหารเช้า รับประทานอาหารไม่มีประโยชน์ นั่งหน้าจอนานเกินไป กลั้นปัสสาวะ นอนดึก ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ และไม่ออกกำลังกาย
  • โรคฮิตที่คนวัยแรงงานต้องเผชิญ มีโรคปลอกประสาทอักเสบ โรคเครียดลงกระเพาะ โรคความดันโลหิตสูง ออฟฟิศซินโดรม โรคหัวใจ โรคกรดไหลย้อน และโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
  • การดูแลสุขภาพ ย่อมดีกว่าการมาหาหมอเพื่อรับการรักษา  แต่การดูแลสุขภาพต้องเหมาะกับแต่ละช่วงวัย

“เดอะแบก” กลายเป็นฉายาของ "วัยทำงาน" ซึ่งเป็นช่วงวัยที่ต้องแบกรับภาระมากมายทั้งเรื่องหน้าที่การงานไปจนถึงชีวิตครอบครัวที่แต่ละบ้านมีปัญหาแตกต่างกัน เพราะเต็มไปด้วยความกดดันที่ถาโถมรอบด้าน 

"สุขภาพ" จึงเป็นสิ่งสำคัญมากต่อชีวิตการทำงาน  เพราะต่อให้มีเงินมากมาย แต่สุขภาพไม่ดี ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งการมี พฤติกรรมทำลายสุขภาพ อย่างไม่รู้ตัวที่บางครั้งอาจจะเกิดผลร้ายมากกว่าผลดี

โดยปัจจัยที่สำคัญมากต่อการมีสุขภาพดีหรือไม่ดีของเราแต่ละคนในทุก เพศและทุกวัย คือ พฤติกรรมการใช้ชีวิตหรือดำเนินชีวิตใน 3 เรื่อง คือ อาหาร ออกกาลังกาย และอารมณ์ หรือเรียกย่อๆ ว่า "3 อ."

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

'ความเครียด' ภัยเงียบ กระตุ้นโรคเบาหวาน! วัยทำงานควรระวัง

ปี 68 เทรนด์ Lifestyle Medicine  หนุนตลาดอาหารเสริมไทยโต 15 %

พฤติกรรมทำลายสุขภาพของคนวัยทำงาน

1. อดอาหารเช้า หรือทานข้าวไม่ตรงเวลา

หนึ่งในพฤติกรรมคลาสสิคของคนวัยทำงานในยุคสมัยแห่งความเร่งรีบคือ การอดอาหารเช้า เพื่อที่จะได้เข้างานตรงเวลาหรือว่าทำงานหนักจนทานข้าวไม่เป็นเวลา ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคได้ เนื่องจากการที่เราไม่ได้รับประทานอาหารเช้า ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ จนเกิดสภาวะอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ นำมาซึ่งอาการโรคสมองเสื่อม ในขณะที่การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา อาจจะทำให้เราเป็นโรคกระเพาะได้

นอกจากนี้หากคนเป็นคนที่กินดึกแล้วนอนเลย อาจจะเสี่ยงที่จะเป็นโรคกรดไหลย้อนได้ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้สามารถแก้ได้ด้วยการทานอาหารให้เป็นเวลา และไม่อดอาหารเช้า

2. รับประทานอาหารไม่มีประโยชน์

การกินอาหารนั้นมีความสำคัญ แต่หากเรากินทุกอย่างจนไม่ระวัง อาจจะส่งผลร้ายมากกว่าผลดี โดยเฉพาะหลาย ๆ คนที่ชอบกินอาหาร Junk Food หรืออาหารสำเร็จรูปเนื่องจากชีวิตประจำวันที่ต้องเร่งรีบอยู่ตลอดเวลา

พฤติกรรมแบบนี้เสี่ยงอันตรายอย่างมาก เนื่องจากอาหารประเภทนี้มักจะมีไขมันและคอเลสเตอรอลในอัตราที่สูงมาก รวมไปถึงปริมาณน้ำตาลและโซเดียมที่สูงกว่าอาหารทั่วไป ทำให้มีความเสี่ยงที่เกิดโรคตามมามากมาย เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคอ้วน โรคตับ และโรคอื่น ๆ อีกมากมาย

วิธีแก้ไขพฤติกรรมเหล่านี้คือ การที่พยายามหลีกเลี่ยงอาหารประเภทนี้ หรือพยายามที่จะลดการทานให้น้อยลง รวมไปถึงการออกกำลังกาย จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคที่จะเกิดขึ้น

3. นั่งจ้องคอมพิวเตอร์นานเกินไป

พนักงานที่ทำงานออฟฟิศนอกจากเวลากินข้าวกับประชุมแล้ว ส่วนใหญ่มักจะอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโน็ตบุ๊คเป็นหลัก ซึ่งการที่จ้องหน้าจอเวลานานจนเกิดไปโดยที่ไม่ขยับตัวเลย อาจจะทำให้เกิดผลเสียได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นโรคยอดนิยมอย่าง ออฟฟิศซินโดรม ที่หากไม่ทำการรักษาให้ดีอาจจะเสี่ยงให้เกิดความพิการได้

โดยวิธีในการลดความเสี่ยงออฟฟิศซินโดรมคือการลุกออกจากหน้าจอบ้าง โดยในหนึ่งชั่วโมงควรที่จะพักสายตาและยืดเส้นยืดสายสัก 5 นาที หรืออาจจะใช้วิธีในการเดินไปห้องน้ำ แบบนี้จะช่วยทำให้ร่างกาย

4. กลั้นปัสสาวะขณะทำงาน ไม่ยอมลุกไปเข้าห้องน้ำ

การที่ทำงานนาน ๆ ไม่ยอมลุกออกไปไหนนอกจากจะเสี่ยงในเรื่องของออฟฟิศซินโดรมแล้ว ยังเสี่ยงในเรื่องของการสุขภาพของกระเพาะปัสสาวะ เนื่องจากการนั่งทำงานจนไม่ลุกไปไหนแม้แต่การเขาห้องน้ำ เป็นสาเหตุหลักของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบและกรวยไตอักเสบ และยังทำให้กล้ามเนื้อหูรูดที่กระเพาะปัสสาวะอ่อนแรง จนทำให้ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้

โดยวิธีการแก้เรื่องนี้คือ หากว่าเรารู้สึกปวดปัสสาวะ เราควรที่จะไปเข้าห้องน้ำทันที เพื่อสุขภาพที่ดีแล้วค่อยกลับเข้าไปทำงานใหม่

5. นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ

เรื่องนี้อาจจะเกิดขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ทุ่มเทกับงานจนเวลาพักผ่อนไม่เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงานจนนอนดึก สิ่งเหล่านี้ทำให้ร่างกายของเราทำงานไม่เป็นระบบหรือเรียกสั้น ๆ ว่านาฬิกาชีวิตพัง เนื่องจากร่างกายใช้เวลานอนในการซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ที่ซึกหรอ รวมไปถึงฟื้นฟูร่างกายให้พร้อม

การที่เรานอนดึกและพักผ่อนไม่เพียงพอนั้น นำไปสู่ปัญหาในระยะยาวได้ เช่นนอนตื่นมาแล้วไม่สดชื่น สมาธิสั้น รวมไปถึงโรคร้ายต่าง ๆ ดังนั้นหากเป็นไปได้ควรนอนวันละ 8 ชั่วโมง เพื่อตื่นมาในเช้าวันใหม่อย่างสดใสและพร้อมกับการทำงาน

6. ดื่มเหล้า สูบบุหรี่

ปาร์ตี้หรือการสังสรรค์ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการวัฒนธรรมองค์กรในบางแห่ง ที่ทำให้พนักงานรู้จักกันดียิ่งขึ้นอีกทั้งยังทำให้พนักงานคลายเครียดอีกทาง แต่การสังสรรค์ที่มากจนเกินไป อาจจะทำให้ร่างกายพังได้ ทั้งในเรื่องของการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ

การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำจะทำให้เสี่ยงต่อโรคตับแข็ง มะเร็งตับ หรือ โรคหัวใจ นอกจากนี้บางคนยังนิยมสูบบุหรี่ระหว่างการทำงานด้วย ทำให้เสี่ยงต่อ โรคมะเร็งปอด โรคถุงลมโป่งพอง โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมไปถึงโรคอื่น ๆ ที่จะตามมาในอนาคต

ดังนั้นหากอยากสุขภาพแข็งแรงก็ควรเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ หรือลดให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

7. ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย

ชีวิตที่เร่งรีบและงานที่หนักจนเกิดไป ทำให้หลาย ๆ คนลืมว่า เราควรออกกำลังกายด้วย เพราะการออกกำลังกายเป็นจุดเริ่มต้นของสุขภาพที่ดี ช่วยสร้างสมดุลให้ร่างกายและปรับสมดุลให้กับชีวิต จะทำให้เรามีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกทาง เราควรจะออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว

 

7 โรคฮิตที่คนวัยทำงานเสี่ยงเผชิญ

ในวันที่ร่างกายยังแข็งแรง คนส่วนใหญ่มักไม่ให้ความสำคัญกับสุขภาพมากนัก โดยเฉพาะคนวัยทำงานที่มักจะลืมคำนึงถึงการดูแลสุขภาพของตนเองและครอบครัว การใช้ชีวิตอยู่กับความเร่งรีบตลอดเวลา ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย กินอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ  ล้วนเป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดโรคต่างภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

1) โรคปลอกประสาทอักเสบ

จากข้อมูลทางสถิติ โรคปลอกประสาทอักเสบ เป็นโรคใกล้ตัวหญิงวัยทำงาน โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 20 – 40 ปี หากเป็นมากจะสูญเสียการเคลื่อนไหวของร่างกายจนอาจเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้

2) โรคเครียดลงกระเพาะ

โรคเครียดลงกระเพาะ ส่วนมากเกิดจากความเครียด เพราะในขณะที่เราเครียด ระบบประสาทอัตโนมัติจะกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งน้ำย่อยออกมามากกว่าปกติ จนเกิดการระคายเคือง ส่งผลให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร

3) โรคความดันโลหิตสูง

โรคความดันโลหิตสูง จากการที่พนักงานออฟฟิศส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับความกดดันอยู่บ่อยครั้ง โรคนี้ยังเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์ อัมพาต ไตวายอีกด้วย จากการรายงานขององค์การอนามัยโลกคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2568 จะมีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นเป็น 1.56 พันล้านคน

4) ออฟฟิศซินโดรม

ออฟฟิศซินโดรม เป็นโรคที่เกิดขึ้นโดยตรงกับพนักงานออฟฟิศ ด้วยพฤติกรรมส่วนใหญ่ของคนทำงานที่ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์อยู่เป็นเวลานานโดยไม่ได้ขยับตัว จนทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการตึง ก่อให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบได้ จากสถิติของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า “คนวัยทำงานร้อยละ 60 มีภาวะโรคออฟฟิศซินโดรม”

5) โรคหัวใจ

โรคหัวใจ มักเกิดขึ้นกับคนวัยทำงาน เพราะคนวัยทำงานมีการดำเนินชีวิตที่ต้องทำงานหนัก พักผ่อนน้อย ประกอบกับการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงและรสชาติจัด อีกทั้งไม่มีเวลาออกกำลังกาย ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้เกิดโรคหัวใจได้อย่างง่ายดาย

6) โรคกรดไหลย้อน

โรคกรดไหลย้อนเป็นโรคที่คนทำงานหลายคนมักมองข้ามไป แต่ความจริงแล้วโรคดังกล่าวเป็นภัยเงียบที่หนุ่มสาววัยทำงานควรระวังไว้ เนื่องด้วยชีวิตที่เร่งรีบของคนทำงาน อาจมีตัวเลือกสำหรับอาหารไม่มากนัก ทำให้คนส่วนใหญ่ต้องบริโภคอาหารรสจัด ของมัน ของทอด หรือน้ำอัดลมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือบางคนที่ทำงานดึกดื่นจนไม่มีเวลากินข้าว ต้องมากินข้าวก่อนนอน เมื่อกินเสร็จก็นอนทันที นับได้ว่าพฤติกรรมเหล่านี้เป็นพฤติกรรมที่ส่อให้เกิดโรคกรดไหลย้อน

7) โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ อีกหนึ่งโรคยอดฮิตของคนวัยทำงาน สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้คนเกิดโรคนี้คือ เมื่อปวดปัสสาวะแล้วไม่ยอมลุกไปเข้าห้องน้ำ ดื่มน้ำน้อย หรือเลือกดื่มกาแฟแทนน้ำเปล่า ซึ่งพฤติกรรมที่ทำจนเกิดเป็นนิสัยแบบนี้ส่งผลให้เกิดโรคร้ายได้

 

วิธีการดูแลสุขภาพ  4 ช่วงวัย

อ.นพ.สมบูรณ์  อินทลาภาพร ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่าการดูแลตนเองและคนที่คุณรักให้มีสุขภาพดี ครอบคลุมทุกช่วงอายุ จะเน้นการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคเป็นสำคัญ โดยเด็กเล็ก เน้นในเรื่องพัฒนาการและการเรียนรู้ วัยรุ่น เน้นทางด้านจิตใจและสังคม วัยทำงาน เน้นการดูแลพฤติกรรมเสี่ยง  ส่วนผู้สูงอายุ เน้นการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอย่างต่อเนื่อง  

  • ช่วงที่ 1  อายุ  0-6 ปี

เริ่มจากหญิงตั้งครรภ์ควรไปฝากครรภ์และตรวจสม่ำเสมอ  เพื่อให้ทารกในครรภ์ได้รับการดูแลและคลอดอย่างปลอดภัยโดยแพทย์ จากนั้นจนถึงอายุ 6 ปี ทารกต้องได้รับวัคซีนพื้นฐานครบถ้วน และได้รับการตรวจทางด้านพัฒนาการ  การเรียนรู้  และพฤติกรรมต่าง ๆ

  •  ช่วงที่ 2  อายุ 7-18 ปี 

สิ่งที่สำคัญ  คือ  การเตรียมตัวให้วัยนี้เป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรงทั้งด้านร่างกาย และจิตใจ  มีอารมณ์ที่แจ่มใส  มีภูมิคุ้มกันทางความคิด  สามารถดูแลตนเองให้ห่างไกลจากยาเสพติด  โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์  หรือการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อมในวัยรุ่น  เพื่อเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพต่อไป

  •  ช่วงที่ 3  อายุ 19-60 ปี   

เป็นวัยทำงาน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยาวถึง  40  ปี  มักมีเวลาในการดูแลสุขภาพตนเองน้อย ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ โดยวัยนี้มักเป็นโรคที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคจากบุหรี่ สุรา หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน เช่น ปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อ โรคเครียด เป็นต้น จึงจำเป็นต้องตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ เพื่อให้เข้าสู่วัย 60 ปี เป็นผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดี

  • ช่วงที่  4  อายุ ตั้งแต่  60  ปี ขึ้นไป

 วัยนี้ถือเป็นวัยสูงอายุ นอกจากมีความเสื่อมถดถอยของร่างกายแล้ว บางรายยังมีโรคประจำตัวด้วย สำหรับผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว  ควรรับการตรวจรักษาสม่ำเสมอและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง หากมีอาการผิดปกติควรพบแพทย์ เพื่อให้การรักษาที่ถูกต้อง ก็จะทำให้มีสุขภาพดีได้อย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับผู้สูงอายุทั่วไป ที่ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่  ออกกำลังกายทุกวัน  นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ  และทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส  ไม่เครียด 

 

 

 

อ้างอิง: jobsdb , โรงพยาบาลกรุงเทพ , คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล