ฟินแลนด์ ขึ้นแท่น No.1 วัยทำงานมี Work-life Balance ดีที่สุดในโลก ปี 2025

เมืองเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ ขึ้นแท่น No.1 เมืองที่วัยทำงานมี Work-life Balance ดีที่สุดในโลก ปี 2025 ตามรายงานของ Global Work-Life Balance City Index 2025 ที่ได้วิเคราะห์ข้อมูลและจัดอันดับจาก 75 เมืองใหญ่ทั่วโลก
KEY
POINTS
- รายงานการจัดอันดับ Global Work-Life Balance City Index 2025 พบว่าเมืองเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ คว้าอันดับ 1 เมืองที่คนทำงานมีสมดุลชีวิตและการทำงานดีที่สุดในโลก ในปี 2025
- รองลงมาคือ ออสโล ประเทศนอร์เวย์, โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก, สตอกโฮล์ม, ประเทศสวีเดน อันดับที่ 2 3 และ 4 ตามลำดับ
- หากดูเฉพาะเมืองใหญ่ในเอเชีย พบว่า สิงคโปร์ เป็นเมืองและประเทศที่วัยทำงานมี Work-life Balance อยู่ในอันดับ 47 ด้านกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ อยู่ที่อันดับ 38 ส่วนกรุงเทพฯ ประเทศไทย รั้งท้ายอยู่ที่อันดับ 72
เดือนแรกแห่งปี 2025 กำลังจะผ่านไป เชื่อว่าไฟของวัยทำงานยังคงแรงดีไม่มีตก แต่ถ้าอยากมีไฟในการทำงานไปนานๆ ตลอดทั้งปีโดยไม่มี Burnout คำหนึ่งที่มักจะโผล่มาคู่กันก็คือ “Work-life Balance” ซึ่งหลายคนเชื่อว่าหากมีสมดุลระหว่างการทำงานกับชีวิตส่วนตัว ก็จะช่วยหลีกเลี่ยงภาวะหมดไฟได้ แต่ไม่ว่าในเมืองไทยจะมองเรื่องการมีสมดุลชีวิตกับการทำงานอย่างไรก็ตาม สำหรับในต่างประเทศพบว่ามีหลายประเทศให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก
ล่าสุดมีรายงานการสำรวจและจัดอันดับของ Global Work-Life Balance City Index 2025 จัดทำโดย Blueground ได้สรุปข้อมูลออกมาให้เหล่าคนทำงานทั่วโลกทราบกันว่า เมืองใหญ่ที่เป็นแหล่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกเมืองใดบ้างที่พนักงาน-ลูกจ้าง มี Work-life Balance ดีที่สุดในโลก จากการศึกษาวิจัยทั้งหมด 75 เมืองใหญ่ทั่วโลก พบว่าเมืองเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ คว้าอันดับ 1 เมืองที่มีสมดุลชีวิตและการทำงานดีที่สุดในโลก โดยได้คะแนนดัชนีพื้นฐานความสมดุลโดยรวม 100 คะแนน, การทำงานเต็มที่และได้พักเต็มที่ (Work hard-Play hard) ได้ 97.6 คะแนน, การแยกเวลางานออกจากชีวิตส่วนตัวได้ 97.7 คะแนน (วัดผลจากหลายตัวบ่งชี้ คะแนนเต็ม 100 คะแนน)
รองลงมาอันดับ 2 คือ ออสโล ประเทศนอร์เวย์ ได้คะแนนพื้นฐานความสมดุลโดยรวม 96.5 คะแนน, การทำงานเต็มที่และได้พักเต็มที่ (Work hard-Play hard) ได้ 93.5 คะแนน, การแยกเวลางานออกจากชีวิตส่วนตัวได้ 93.8 คะแนน ในขณะที่อันดับ 3 คือ โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ได้คะแนนพื้นฐานความสมดุลโดยรวม 94.6 คะแนน, การทำงานเต็มที่และได้พักเต็มที่ (Work hard-Play hard) ได้ 99 คะแนน, การแยกเวลางานออกจากชีวิตส่วนตัวได้ 94.3 คะแนน
ขณะที่หากดูเฉพาะเมืองใหญ่ในเอเชีย ตามรายงานนี้ระบุด้วยว่า สิงคโปร์ เป็นเมืองและประเทศที่วัยทำงานมี Work-life Balance อยู่ในอันดับ 47 ด้านกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ อยู่ที่อันดับ 38 และกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น อยู่ที่อันดับ 30 (ดีที่สุดในเอเชีย) ส่วนกรุงเทพฯ ของประเทศไทยเรานั้น รั้งท้ายอยู่ที่อันดับ 72 จากทั้งหมด 75 อันดับ
เปิด 10 เมืองที่วัยทำงานมี Work-life Balance ดีที่สุดในโลก
รายงาน Global Work-Life Balance City Index 2025 แสดงข้อมูล 10 อันดับแรกของเมืองที่มีสมดุลชีวิตและการทำงานดีที่สุดในโลก ปี 2025 เอาไว้ดังนี้
อันดับ 1 เฮลซิงกิ, ฟินแลนด์ ความสมดุลชีวิตโดยรวม 100 คะแนน
อันดับ 2 ออสโล, นอร์เวย์ ความสมดุลชีวิตโดยรวม 96.5 คะแนน
อันดับ 3 โคเปนเฮเกน, เดนมาร์ก ความสมดุลชีวิตโดยรวม 94.6 คะแนน
อันดับ 4 สตอกโฮล์ม, สวีเดน ความสมดุลชีวิตโดยรวม 93.7 คะแนน
อันดับ 5 ออตตาวา, แคนาดา ความสมดุลชีวิตโดยรวม 93.2 คะแนน
อันดับ 6 ซิดนีย์, ออสเตรเลีย ความสมดุลชีวิตโดยรวม 93 คะแนน
อันดับ 7 เมลเบิร์น, ออสเตรเลีย ความสมดุลชีวิตโดยรวม 92.7 คะแนน
อันดับ 8 บรัสเซลส์, เบลเยียม ความสมดุลชีวิตโดยรวม 92.1 คะแนน
อันดับ 9 ปารีส, ฝรั่งเศส ความสมดุลชีวิตโดยรวม 91.8 คะแนน (เท่ากับซูริค)
อันดับ 10 ซูริค, สวิตเซอร์แลนด์ ความสมดุลชีวิตโดยรวม 91.8 คะแนน (เท่ากับปารีส)
สำหรับในเอเชียและประเทศไทย พบว่าอันดับต่างๆ ได้แก่
อันดับ 30 กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ความสมดุลชีวิตโดยรวม 82.5 คะแนน
อันดับ 38 กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ความสมดุลชีวิตโดยรวม 77.2 คะแนน
อันดับ 47 สิงคโปร์ ความสมดุลชีวิตโดยรวม 76 คะแนน
อันดับ 70 ฮ่องกง ความสมดุลชีวิตโดยรวม 67.8 คะแนน
อันดับ 72 กรุงเทพฯ ประเทศไทย ความสมดุลชีวิตโดยรวม 63 คะแนน
อันดับ 73 กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ความสมดุลชีวิตโดยรวม 60 คะแนน
Talent ทั่วโลก เน้นการทำงานอย่างฉลาดมากกว่าทำงานหนัก
นอกจากนี้ รายงานดัชนีเมืองสมดุลชีวิตและการทำงานระดับโลก 2025 ยังได้แสดงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการทำงานหนัก การสนับสนุนจากรัฐ กฎหมาย และความเป็นอยู่ของวัยทำงานในเมืองนั้นๆ เมื่อนำมาวิเคราะห์ร่วมกันจึงเผยให้เห็นการจัดอันดับเมืองตามความสำเร็จในการสร้าง “สมดุลระหว่างการทำงานและชีวิต” ให้ดีขึ้นสำหรับประชากรในท้องถิ่น
ด้วยความที่ Blueground เป็นแพลตฟอร์มที่เชี่ยวชาญด้านการช่วยเหลือพนักงานระดับสูงในการย้ายไปทำงานยังเมืองอื่นๆ ดังนั้นจึงมีข้อมูลเชิงลึก ครอบคลุม และเชื่อถือได้ ทำให้ระบุได้ว่า พนักงานที่มีประสิทธิภาพสูง (Talent) จากทั่วโลก ส่วนใหญ่มุ่งเน้นที่การทำงานอย่างชาญฉลาดมากกว่าการทำงานหนัก อีกทั้งทีมวิจัยได้ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อค้นหา “เมืองที่มีผู้อยู่อาศัยที่มีความสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิตที่ดีที่สุด” ซึ่งไม่เพียงแต่พิจารณาถึงระดับความเข้มข้นในการทำงานในเมืองนั้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเป็นอยู่และสิทธิของผู้อยู่อาศัยในพื้นที่นั้นด้วย
อย่างไรก็ตาม รายงานชุดนี้ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อเป็นดัชนีความน่าอยู่อาศัยในเมือง และไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเน้นย้ำถึงเมืองที่ดีที่สุดสำหรับการทำงาน แต่มุ่งหวังที่จะเป็นแนวทางสำหรับเมืองต่างๆ เพื่อวัดความสามารถในการสนับสนุนความสมบูรณ์ในชีวิตของผู้อยู่อาศัยโดยการปรับปรุงด้านต่างๆ ของชีวิตที่ช่วยบรรเทาความเครียดและความเข้มข้นที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน
วัดผลตามเกณฑ์ 16 ตัวชี้วัด จนได้ผลลัพธ์ 3 หมวดใหญ่ของเมืองสมดุลชีวิตดีที่สุดในโลก
ทีมวิจัยเริ่มจากประเมินสภาพแวดล้อมการทำงานในเมืองใหญ่ต่างๆ ที่ขึ้นชื่อในเรื่องที่ดึงดูดผู้เชี่ยวชาญและครอบครัว ด้วยโอกาสในการทำงานและรูปแบบการใช้ชีวิตที่หลากหลาย โดยเลือกมหานครที่แรงงานทั่วโลกมีความต้องการที่จะไปทำงานที่นั่นเป็นหลัก จากนั้นใช้ข้อมูลจากหลากหลายแหล่งที่มาทั้งจากภาครัฐและเอกชนของประเทศต่างๆ มาวิเคราะห์เพื่อระบุเมืองที่ดีที่สุดสำหรับสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิต โดยมีดัชนีชี้วัดถึง 16 ดัชนี ขอยกตัวอย่างมาให้ทราบบางส่วน เช่นการพิจารณาจาก
- ความเข้มข้นในการทำงาน
- ชั่วโมงการทำงานทั้งหมด
- เวลาที่ใช้ในการเดินทาง
- วันหยุดขั้นต่ำต่อปี, วันหยุดสำหรับลาพักร้อน
รวมถึงข้อมูลทางสังคม สถาบัน และความเป็นอยู่ที่ดีของเมืองนั้นๆ ซึ่งการศึกษาครั้งนี้ได้พิจารณา 75 เมืองทั่วโลก โดยครอบคลุมตัวบ่งชี้ต่างๆ เพื่อเน้นย้ำถึงเมืองที่มีงานล้นมือมากที่สุดและน้อยที่สุดทั่วโลก
จากนั้นทำให้ได้ผลลัพธ์ดัชนีคะแนนในหมวดหลักๆ อยู่ 3 เกณฑ์ แล้วคำนวณออกมาเป็นคะแนน (เต็ม 100 คะแนน) ได้แก่ 1.คะแนนดัชนีพื้นฐานโดยรวม ดูองค์รวมที่คำนึงถึงวัฒนธรรมการทำงานที่ดี 2.คะแนนดัชนีการทำงานเต็มที่และได้พักเต็มที่ 3.คะแนนดัชนีการแยกเวลาเรื่องงานออกจากชีวิตส่วนตัวได้ ในที่นี้ยกเฉพาะคะแนนดัชนีพื้นฐานความสมดุลชีวิตโดยรวมมาให้ทราบกัน (ดังรายงาน 10 อันดับข้างต้น)
จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาทั้งหมดนั้น (ทั้งในสหรัฐอเมริกาและเมืองระดับนานาชาติ) มาจัดอันดับว่าเมืองใหญ่เหล่านี้ส่งเสริมความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานทั้งทางตรงและทางอ้อมผ่านนโยบายและโครงสร้างพื้นฐานในเมืองอย่างไรบ้าง ทั้งนี้ ผู้อ่านสามารถเข้าไปดูรายละเอียดฉบับเต็มได้ที่ : Global Work-Life Balance City Index 2025