เด็กไทยเป็น LD เข้าถึงรักษาน้อย เหตุผู้ปกครองติดงาน-ไม่มีเวลา

เด็กไทยเป็น LD เข้าถึงรักษาน้อย เหตุผู้ปกครองติดงาน-ไม่มีเวลา

ทำความเข้าใจ เด็ก LD (Learning Disorder) หรือเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ผู้ปกครองและคุณครู ยังเข้าใจผิด คิดว่าเด็ก LD ที่มีปัญหาด้านการอ่าน การเขียน การคำนวณ หรืออาจมีพฤติกรรมไม่สนใจและไม่มีสมาธิในการเรียน ทำงานช้าและไม่เสร็จ เป็นเด็กดื้อ เกเร

KEY

POINTS

  • เด็ก LD (Learning Disorder) หรือเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ สถิติโลกพบว่า 5% ของเด็กชั้นประถมศึกษาเป็นโรค LD โดยพบ แบบรุนแรง 1-2% ส่วนที่เหลือ 3% เป็นแบบไม่รุนแรงสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ 
  • ปัจจุบัน ผู้ปกครองและคุณครู ยังเข้าใจผิด คิดว่าเด็ก LD ที่มีปัญหาด้านการอ่าน การเขียน การคำนวณ หรืออาจมีพฤติกรรมไม่สนใจและไม่มีสมาธิในการเรียน ทำงานช้าและไม่เสร็จ เป็นเด็กดื้อ เกเร
  • แต่ความจริงแล้ว เด็กหลายคนมีความเป็นอัจฉริยะอยู่ในตัวเอง และเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพในอนาคต หากได้รับการพัฒนาที่ตรงจุดและเหมาะสม 

ทำความเข้าใจ เด็ก LD (Learning Disorder) หรือเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ผู้ปกครองและคุณครู ยังเข้าใจผิด คิดว่าเด็ก LD ที่มีปัญหาด้านการอ่าน การเขียน การคำนวณ หรืออาจมีพฤติกรรมไม่สนใจและไม่มีสมาธิในการเรียน ทำงานช้าและไม่เสร็จ เป็นเด็กดื้อ เกเร

แม้ในปัจจุบันความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับ เด็ก LD (Learning Disorder) หรือเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในประเทศไทยจะขยายวงกว้างมากขึ้น แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ ยังมีผู้ปกครองและคุณครูจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิด คิดว่าเด็ก LD ที่มีปัญหาด้านการอ่าน การเขียน การคำนวณ หรืออาจมีพฤติกรรมไม่สนใจและไม่มีสมาธิในการเรียน ทำงานช้าและไม่เสร็จ เป็นเด็กดื้อ เกเร

 

Learning disorders หรือ Learning disabilities ทำให้เด็กไม่ได้รับการส่งเสริมทักษะเรียนรู้ที่ดีพอ จนอาจนำไปสู่การสร้างปัญหาต่าง ๆ ตามมาในอนาคตได้ง่าย ทั้งที่เด็ก LD หลายคนมีความเป็นอัจฉริยะอยู่ในตัวเอง และเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพในอนาคต หากได้รับการพัฒนาที่ตรงจุดและเหมาะสม

 

ตัวเลขสถิติทั่วโลกตรงกันว่า 5% ของเด็กชั้นประถมศึกษาเป็นโรค LD ถือว่าเป็นจำนวนไม่น้อย โดยจะพบแบบรุนแรง 1-2% ส่วนที่เหลือ 3% เป็นแบบไม่รุนแรงสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ทั้งนี้ พบว่าเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงเป็น LD มีตัวเลขใกล้เคียงกัน

 

แต่เด็กผู้ชายมักถูกส่งมาพบแพทย์มากกว่า เนื่องจากมีพฤติกรรมดื้อและซน ในขณะที่เด็กผู้หญิงมักจะเรียบร้อย ไม่ค่อยแสดงออก ส่วนโรคร่วมอย่างสมาธิสั้นจะพบในเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิงอย่างชัดเจน

 

เด็กไทยเป็น LD เข้าถึงรักษาน้อย เหตุผู้ปกครองติดงาน-ไม่มีเวลา

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

 

“รศ.นพ.มนัท สูงประสิทธิ์” จิตแพทย์เด็ก โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านจิตเวช BMHH หรือ Bangkok Mental Health Hospital กล่าวว่า สิ่งที่น่ากังวลสำหรับสถานการณ์ในประเทศไทยคือ พบว่ามีเด็ก LD เข้าสู่ระบบการช่วยเหลือของโรงพยาบาลจำนวนน้อยมาก เนื่องจากผู้ปกครองบางคนต้องทำงาน ไม่มีเวลา หรือบางคนมองว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก ทั้งที่เด็กหลายคนมีความเป็นอัจฉริยะอยู่ในตัวเอง และเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพในอนาคต หากได้รับการพัฒนาที่ตรงจุดและเหมาะสม โดยการช่วยเหลือหากเริ่มตั้งแต่ยิ่งเล็กยิ่งดี 

 

โรคการเรียนรู้บกพร่อง หรือ LD เป็นความผิดปกติของกระบวนการเรียนรู้ที่แสดงออกทางด้านการอ่าน การเขียนสะกดคำ การคำนวณและเหตุผลเชิงคณิตศาสตร์ เกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของสมอง ทำให้ผลการเรียนของเด็กต่ำกว่าศักยภาพที่แท้จริง โดยที่เด็กมีสติปัญญาอยู่ในระดับปกติและมีความสามารถด้านอื่นๆ ปกติดี      

 

"เด็ก LD บางคนที่ได้รับการช่วยเหลือ สามารถมีพัฒนาการที่ดีเรียนรู้ได้ และบางคนยังเป็นเรียนแพทย์ได้ก็มี บางคนมีแววอัจฉริยะในตัวเพียงแต่เขาอาจจะเรียนรู้ช้า แต่ถ้าหากได้รับการช่วยเหลือตั้งแต่เล็ก ก็จะสามารถเติบโตและเรียนรู้และอยู่ในสังคมได้ โดยสาเหตุของโรค LD เกิดจากการทำงานของสมองบางตำแหน่งบกพร่อง"

 

โดยเฉพาะตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และการใช้ภาษากรรมพันธุ์ มีพ่อแม่ หรือญาติพี่น้องมีปัญหาเดียวกันความผิดปกติของโครโมโซม โดยสามารถวินิจฉัยเด็ก LD ได้จากการรวบรวมประวัติการเรียนและพัฒนาการด้านการเรียนรู้ของเด็กแต่ละด้านเป็นข้อมูลสำคัญที่ใช้ประกอบการวินิจฉัย แบ่งเป็น 3 ด้าน ได้แก่ 

 

 

1.ความบกพร่องด้านการอ่าน ความบกพร่องด้านการอ่านเป็นปัญหาที่พบได้มากที่สุดของเด็ก LD ทั้งหมด เด็กมีความบกพร่องในการจดจำ พยัญชนะ สระ และขาดทักษะในการสะกดคำ จึงอ่านหนังสือไม่ออกหรืออ่านช้า อ่านออกเสียงไม่ชัด ผันเสียงวรรณยุกต์ไม่ได้ อ่านข้าม อ่านเพิ่มคำ จับใจความเรื่องที่อ่านไม่ได้ ทำให้เด็กกลุ่มนี้มีความสามารถในการอ่านหนังสือต่ำกว่าเด็กในวัยเดียวกัน

 

2. ความบกพร่องด้านการเขียนสะกดคำ ความบกพร่องด้านนี้ส่วนใหญ่จะพบร่วมกับความบกพร่องด้านการอ่าน เด็กมีความบกพร่องในการเขียนพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ไม่ถูกต้อง บางครั้งเรียงลำดับอักษรผิด จึงเขียนหนังสือและสะกดคำผิด ทำให้ไม่สามารถแสดงออก ผ่านการเขียนได้ตามระดับชั้นเรียน เด็กกลุ่มนี้จึงมีความสามารถในการเขียนสะกดคำต่ำกว่าเด็กในวัยเดียวกัน

 

3. ความบกพร่องด้านคณิตศาสตร์ เด็กขาดทักษะและความเข้าใจค่าของตัวเลข การนับจำนวน การจำสูตรคูณ การใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ จึงไม่สามารถคำนวณคำตอบจากการบวก ลบ คูณ หาร ตามกฎเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์ได้ เด็กกลุ่มนี้จึงมีความสามารถในการคิดคำนวณ ต่ำกว่าเด็กในวัยเดียวกัน

 

หากดูรายงานครูประจำชั้นจะพบว่าเด็กกลุ่มนี้จะพบว่าการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านการเรียน เด็ก LD จะมีความสามารถในการเรียนรู้ต่ำกว่าเพื่อนนักเรียนในชั้นอย่างชัดเจนและเป็นปัญหาที่กระทบต่อการเรียนอย่างต่อเนื่อง เด็ก LD มีปัญหาทางจิตเวชอื่นๆ ที่พบร่วมกันได้ถึงร้อยละ 40-50 เช่น โรคสมาธิสั้น ความบกพร่องด้านภาษาและการสื่อสาร ปัญหาการประสานงานระหว่างกล้ามเนื้อมือและสายตาอีกด้วย

 

เด็กไทยเป็น LD เข้าถึงรักษาน้อย เหตุผู้ปกครองติดงาน-ไม่มีเวลา

 

“รศ.นพ.มนัท” กล่าวว่า ดังนั้น อันดับแรก คือ พ่อแม่ต้องเปิดใจ เพราะลูกเป็นโรคต้องการความช่วยเหลือ ไม่ได้เกเรหรือขี้เกียจ การหลบเลี่ยงเป็นผลที่ปลายเหตุโดยกระบวนการรักษาจะแนะนำทั้งผู้ปกครอง ลูก และโรงเรียน ตัวอย่างเช่น โรงเรียนควรจัดทำแผนการเรียนรายบุคคลให้สอดคล้องกับระดับความบกพร่องของเด็กแต่ละด้าน

 

โดยทำความเข้าใจกับครูถึงปัญหาและความบกพร่องของเด็ก เน้นการสอนเสริมในทักษะที่บกพร่อง เช่น การสะกดคำ อ่าน เขียน สอนเป็นกลุ่มย่อยหรือตัวต่อตัว ครั้งละ 30-45 นาที สัปดาห์ละ 4-5 วัน การช่วยอ่านบทเรียนให้ฟัง เพื่อให้เด็กได้เนื้อหา ความรู้ ได้เร็วขึ้น การให้เวลาในการทำสอบเพิ่มขึ้น เพื่อให้เด็กมีเวลาเพียงพอในการ อ่านโจทย์ และเขียนตอบ จะช่วยให้เด็กเรียนได้ดีขึ้น และควรส่งเสริมทักษะด้านอื่นๆ ที่เด็กสนใจ เช่น ดนตรี กีฬา ศิลปะ เพื่อให้เด็กเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง

 

ทั้งนี้ เด็ก LD ต้องการความช่วยเหลือตั้งแต่วัยเล็กๆ เพื่อช่วยให้เชื่อว่าเขาทำได้ ไม่ได้เป็นคนล้มเหลว รวมถึงหาความสามารถพิเศษร่วมไปด้วยและต้องมีการฝึกฝน ที่สำคัญพ่อแม่ต้องมีทีมช่วยเหลือที่เข้มแข็ง คุณครูต้องมีความรู้ความเข้าใจที่ดี เพื่อคัดกรองและประเมินเด็ก โดยรวมคือทุกฝ่ายต้องมีส่วนร่วมในการช่วยกัน ตั้งแต่ระดับครอบครัว โรงเรียน และผู้เชี่ยวชาญที่จะมาช่วยเหลือเด็ก เพื่อให้ได้รับการพัฒนาที่ตรงจุดและเหมาะสม

 

เด็กไทยเป็น LD เข้าถึงรักษาน้อย เหตุผู้ปกครองติดงาน-ไม่มีเวลา

 

แนวทางการช่วยเหลือทางการแพทย์

1. พาลูกไปพบแพทย์วัดระดับเชาวน์ปัญญา ความสามารถทางการเรียนด้านต่างๆ

2. ตรวจร่างกายและทดสอบทางจิตวิทยา และผลสัมฤทธิ์ในการเรียน

3. ให้ความรู้ความเข้าใจ ช่วยเหลือเด็กและครอบครัวทางด้านจิตใจ

4. ถ้าเด็กมีภาวะอื่นร่วมด้วย เช่น สมาธิสั้น ซึมเศร้า คงต้องให้ยาเพื่อรักษาโรคเฉพาะ

5. การบำบัดทางเลือกอื่นๆ เช่น ศิลปะบำบัด การกระตุ้นระบบประสาทและความรู้สึก

 

การช่วยเหลือเด็ก LD

ตรวจหาให้เจอเร็วที่สุด หรือตั้งแต่ยังมีอาการน้อย หากมีอาการสมาธิสั้น จดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ไม่ต่อเนื่อง ซุกซนเกินกว่าเด็กในวัยเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด และหุนหันพลันแล่น ใจร้อนคอยไม่เป็น ควรรีบพาไปพบแพทย์ เพื่อรับการรักษา ซึ่งจะต้องใช้ยา หรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หรือ ทั้งสองวิธีควบคู่กัน หากไม่ทำการรักษาจะส่งผลให้มีพฤติกรรม ที่ไม่พึงประสงค์

 

ด้านการศึกษา

1. โรงเรียนควรจัดทำแผนการเรียนรายบุคคลให้สอดคล้องกับระดับความบกพร่องของเด็ก แต่ละด้าน โดยทำความเข้าใจกับครูถึงปัญหาและความบกพร่องของเด็ก

2. สอนเสริมในทักษะที่บกพร่อง เช่น การสะกดคำ อ่าน เขียนสอนเป็นกลุ่มย่อยหรือตัวต่อครั้งละ 30-45 นาที สัปดาห์ละ 4-5 วัน

3. ช่วยอ่านบทเรียนให้ฟัง เพื่อให้เด็กได้เนื้อหา ความรู้ ได้เร็วขึ้น

4. ให้เวลาในการทำสอบเพิ่มขึ้น เพื่อให้มีเวลาเพียงพอในการ อ่านโจทย์ และเขียนตอบ จะช่วยให้เด็กเรียนได้ดีขึ้น

5. ส่งเสริมทักษะด้านอื่นๆ เช่น ดนตรี กีฬา ศิลปะ เพื่อให้เด็กเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง

 

ช่วยเหลือครอบครัว

1. อธิบายให้เด็กและครอบครัวทราบถึงปัญหาและความบกพร่องเฉพาะด้านของเด็ก รวมทั้งความรู้สึกของเด็กที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ

2. เปลี่ยนพฤติกรรมจากการตำหนิ ลงโทษ เป็นความเข้าใจ และสนับสนุนในการส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ของเด็ก

3. ชื่นชมเมื่อเด็กทำสำเร็จแม้ในเรื่องเล็กน้อยเพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจในตนเอง

หากได้รับการรักษาแต่เนิ่น ๆ และรักษาตามแนวทางที่ถูกวิธี จะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นและสามารถหายได้แต่ต้องอาศัยความรักและความเข้าใจ รวมถึงการให้กำลังใจ

 

“โรคซึมเศร้า"เจ็บป่วยอันดับ 1

ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยฮาร์ดวาร์ด ประเทศสหรัฐ คาดการณ์ว่า โรคซึมเศร้าจะกลายเป็นโรคที่มีผู้ป่วยสูงมากมาเป็นอันดับ 1 ในประเด็นภาระจากการเจ็บป่วย ใน ค.ศ. 2030 จากในอดีตที่เคยอยู่อันดับ 6-7 แต่ปรากฏว่าใน ค.ศ. 2024 มีผู้ป่วยโรคซึมเศร้าสูงขึ้นจนอยู่ในอันดับ 1 ดังนั้น ทุกประเทศทั่วโลก จึงให้ความสำคัญและพยายามจัดระบบการดูแลปัญหาสุขภาพจิตของผู้คนกันมากขึ้น จากสถิติขององค์การอนามัยโลกมีข้อมูลว่าปัญหาสุขภาพจิตทั่วโลกสูงขึ้น 

 

โดยอาจจะมาจาก 3 ปัจจัยที่สำคัญ ได้แก่ 1. สภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป 2. ภาวะตึงเครียดในการดำเนินชีวิตที่มีรูปแบบเปลี่ยนแปลงไป และ 3. ความเป็นอยู่ในด้าน การกินและการอยู่อาศัย ที่ส่งผลกระทบ ทำให้เกิดการเจ็บป่วย

 

กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า มีผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในระบบสุขภาพจิตเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะโรคซึมเศร้า เมื่อปี 2563-2565 จากการเก็บสถิติมีผู้ป่วยสะสมจำนวน 1.1 ล้านราย แต่ในปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาเป็น 1.2 ล้านราย สะท้อนให้เห็นว่าผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเข้ามารับการรักษาเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจุบันคนไทยมีการศึกษาและรับรู้เรื่องของการเจ็บป่วยทางจิตใจมากขึ้น ทำให้การมารับการรักษามากขึ้น ความยอมรับในด้านความเจ็บป่วยทางจิตในสังคมไทยดีขึ้นกว่าก่อนมาก

 

ประกอบกับ ประเทศไทยมีการจัดระบบบริการที่ดีขึ้น ทำให้มีผู้ป่วยเข้ามารักษาในระบบมากขึ้น ที่น่าสังเกตโดยเฉพาะเด็ก พ่อแม่ที่เข้าใจ และสนใจในปัญหาของลูก ก็จะพามาปรึกษาเร็วขึ้น ส่วนผู้ใหญ่ที่เป็นโรคซึมเศร้า พบมีการเข้ามารับการรักษาที่มากขึ้น ซึ่งตอนนี้มียอดสะสมประมาณ 1.2 ล้านราย