กินเยอะขนาดไหน? ถึงเข้าข่าย 'โรคกินไม่หยุด' อยากกินหรือป่วย

กินเยอะขนาดไหน? ถึงเข้าข่าย 'โรคกินไม่หยุด' อยากกินหรือป่วย

เคยมีอาการเหล่านี้หรือไม่? ไม่ว่าจะมีความสุข ความทุกข์ ความเครียด หรือไม่ว่าจะเวลาไหนๆ ก็กินไม่หยุด กินตลอดเวลา ซึ่งการกินเหล่านั้นเป็นเพราะความอยากจะกิน หรือจริงแล้ว...เป็น 'โรคกินไม่หยุด' กันแน่

Keypoint:

  • 'โรคกินไม่หยุด'เป็นโรคที่มีความสัมพันธ์กับความเครียด มีอาการกินไปเรื่อยๆ ไม่หยุด ต่อให้ไม่มีความอยากกินก็จะกินโดยควบคุมตัวเองไม่ได้
  • 11 อาการที่บ่งบอกว่าเข้าข่ายโรคกินไม่หยุด ซึ่งไม่ใช่เพียงการกินอาหารในปริมาณที่มากเกินไปเท่านั้น
  • สิ่งที่สำคัญในการรักษาโรคกินไม่หยุด คือ ผู้ป่วยต้องเข้าใจพฤติกรรม หรืออาการป่วยของตัวเองก่อน ว่าตัวเราเองตอนนี้เป็นผู้ป่วย ต้องใช้การบำบัดและต้องเชื่อฟังแพทย์เพื่อรักษาอาการของโรคนี้ให้หาย

จากงานวิจัยพบว่า ประชากรทั่วโลกกว่า 5% กำลังมีอาการที่กินแบบผิดปกติ (Eating disorder)  ไม่ว่าจะเป็นโรคคลั่งผอม (Anorexia) หรืออาการที่ไม่กินข้าวเพราะกลัวอ้วน หรือโรคโรคล้วงคอ ที่กินแล้วไปอ้วกออก (Bulimia) ที่เราเคยได้ยินว่ามีดารานางแบบทำตามนิตยสาร แต่มีอีกอาการที่คนอาจจะเป็นแต่ไม่รู้ตัวกันนั้นก็คืออาการของ Binge Eating Disorder : BED หรือโรคกินไม่หยุด

Binge Eating Disorder : BED หรือโรคกินไม่หยุด เป็นโรคทางประสาทที่ทำให้เรากินเรื่อย ๆ ไม่หยุด ในปริมาณที่มากเกินปกติ และมักจะรู้สึกผิดที่หลังกินเสร็จ เพราะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ 

จากงานวิจัยพบว่าโรคนี้ยังพบได้ในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และผู้ป่วยส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงอายุ 20 ตอนต้น 

กินเยอะขนาดไหน? ถึงเข้าข่าย \'โรคกินไม่หยุด\' อยากกินหรือป่วย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

ธุรกิจ 'อาหารเพื่อสุขภาพ' ยุคใหม่ ทำอย่างไรให้ตอบโจทย์คนทุกวัย

เทรนด์อาหารเทรนด์สุขภาพยุคNew Normal

เทรนด์ดูแลสุขภาพ 'ยุคใหม่' 18ปีลดน้ำหนัก-ฝังเข็มแก้โรคทำงาน

 ชู'ตรีผลา' อาหารเป็นยา พร้อมแนะดูแลสุขภาพด้วยสมุนไพรผ่านการกิน

 

กินขนาดไหน? ถึงเป็น'โรคกินไม่หยุด' 

โรคกินไม่หยุด (Binge Eating Disorder (BED) คือ อาการรับประทานอาหารปริมาณมากผิดปกติ โดยที่ไม่มีความรู้สึกหิวและไม่สามารถควบคุมตนเองได้นับเป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่งที่สัมพันธ์กับความเครียด ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว

โดยอาการที่สังเกตได้อย่างชัดเจน มีดังนี้ 

  1. รับประทานอาหารปริมาณมากในเวลาไม่นาน
  2. รับประทานอาหารแม้ว่าจะอิ่มแล้ว หรือไม่หิว
  3. รับประทานอาหารเร็วมากในบางช่วง
  4. รับประทานอาหารคนเดียวหรือเก็บเป็นความลับ
  5. กักตุนอาหารไว้ใกล้ตัว
  6. กินได้ทุกเวลาไม่ว่าจะหิวหรือไม่หิว
  7. กินคนเดียวเพราะรู้สึกอาย
  8. กินเสร็จแล้วจะรู้สึกผิด โกรธ เศร้า รังเกียจ โทษตัวเอง
  9. กินไม่หยุดต่อเนื่อง 3 เดือนขึ้นไป
  10. พยายามควบคุมอาหารโดยที่น้ำหนักไม่ลด
  11. รู้สึกเครียดจนอาจทำให้รับประทานอาหารมากขึ้น

กินเยอะขนาดไหน? ถึงเข้าข่าย \'โรคกินไม่หยุด\' อยากกินหรือป่วย

นพ.จตุรงค์ อมรรัตนโกศล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ศูนย์โรคทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า โรคกินไม่หยุด (Binge Eating Disorder : BED) เป็นโรคที่เกิดจากการรับประทานอาหารในปริมาณที่มากผิดปกติ ไม่สามารถคุมตัวเองได้ ไม่หิวก็ยังรับประทาน ที่สำคัญจะรับประทานจนอิ่มแบบที่ไม่สามารถรับประทานอาหารอื่น ๆ ต่อได้ หลังจากนั้นจะรู้สึกโกรธตัวเองที่ทำพฤติกรรมแบบนี้ลงไป ที่น่าสนใจคือโรคนี้ไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด เกิดขึ้นได้กับทุกคนทุกช่วงวัย

 

ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคกินไม่หยุด 

ถึงแม้จะยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ยังพบว่ามีปัจจัยเสี่ยงที่อาจกระตุ้นการเกิดโรคกินไม่หยุดนี้ได้ เช่น

  • เกิดเหตุการณ์ที่กระทบความรู้สึก หรือเคยถูกทำร้าย
  • การสูญเสียบุคคลรอบตัว
  • ความผิดหวังจากการลดน้ำหนัก
  • ไม่มีความมั่นใจวิตกกังวลในรูปร่างของตนเอง
  • การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
  • มีภาวะทางจิตร่วมด้วย เช่น โรคซึมเศร้า เครียด
  • พบได้ในผู้ที่เป็นโรคอ้วน หรือคนในครอบครัวเคยเป็นโรคกินไม่หยุด 

โรคกินไม่หยุด เสี่ยงป่วยอะไรได้บ้าง?

โรคกินไม่หยุดจะเพิ่มความเสี่ยงโรคเรื้อรังอย่างโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน  หัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น ยังส่งผลกับระบบทางเดินอาหารโดยตรง ไม่ว่าจะเป็น

ท้องอืด จากการกินอาหารมากเกินไป ทำให้ต้องย่อยอาหารนานมากขึ้น เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารมากขึ้น ปวดท้อง แน่นท้อง มีลมในท้อง ซึ่งในระยะยาวอาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารอักเสบได้  

อาหารไม่ย่อย เพราะกินไม่หยุดจึงกินมากไป ทำให้ไม่สบายท้อง อึดอัดบริเวณยอดอกหรือใต้ลิ้นปี่ ปวดท้องช่วงบน แสบร้อน ระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดี หากร้ายแรงอาจเลือดออกในทางเดินอาหาร หลอดอาหารตีบ กระเพาะอาหารส่วนปลายตีบได้

กินเยอะขนาดไหน? ถึงเข้าข่าย \'โรคกินไม่หยุด\' อยากกินหรือป่วย

กรดไหลย้อน หากกินมากไปและโดยเฉพาะกินมากไปแล้วนอนทันทีย่อมเสี่ยงต่อกรดไหลย้อน คือการที่น้ำย่อยจากกระเพาะอาหารไหลกลับขึ้นไปที่หลอดอาหาร อาจรู้สึกแสบร้อนที่ลิ้นปี่มาที่หน้าอกและคอ หากปล่อยให้เรื้อรังจนรุนแรงอาจมีแผลที่หลอดอาหารและนำไปสู่โรคมะเร็งแม้พบน้อยก็ตาม

ท้องร่วง การกินไม่หยุด ทำให้กินมากไป กินหลายอย่าง จนกระเพาะอาหารและลำไส้เกิดการแปรปรวน ส่งผลให้ท้องเสียและท้องร่วงได้เช่นกัน

รู้กินไม่หยุด จะแก้ได้อย่างไรบ้าง?

วิธีรักษาโรคกินไม่หยุด แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจเช็กร่างกายอย่างละเอียด ก่อนจะรักษาด้วยการปรับพฤติกรรมบำบัดร่วมกับการใช้ยารักษาตามคำแนะนำของแพทย์ ซึ่งต้องอาศัยเวลาในการปรับเปลี่ยนแบบค่อยเป็นค่อยไป และผู้ป่วยแต่ละคนจะมีวิธีการรักษาแตกต่างกันตามปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคและปัญหาสุขภาพที่ต้องเผชิญ 'โรคกินไม่หยุด' อาจต้องใช้ความอดทนในการรักษา แต่สามารถเป้องกันได้ง่ายๆ ดังนั้น 

  • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม : ออกกำลังกาย ทานอาหารที่เป็นประโยชน์ และไม่ปล่อยให้ตนเองตกอยู่ในสภาวะความเครียด
  • การใช้ยา : เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดมีจุดประสงค์เพื่อจัดการสมดุลภายในสมอง และลดโอกาสเกิดอาการของโรคกินไม่หยุด แต่ด้วยผลข้างเคียงจากการใช้ยาจึงต้องทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ห่างไกลความเครียด
  • การทำจิตบำบัด : มีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้ป่วยเรียนรู้สาเหตุ และอาการของโรคเพื่อรับมืออาการและสามารถจัดการกับความคิดด้านลบต่อร่างกายของตนเองได้
  • ปรึกษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

กินเยอะขนาดไหน? ถึงเข้าข่าย \'โรคกินไม่หยุด\' อยากกินหรือป่วย

หากกินบางมื้อเยอะเกินไปตามโอกาสพิเศษไม่ถือว่าเป็นโรคกินไม่หยุดแต่ถ้ามีอาการกินไม่หยุดอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้งติดต่อกันไม่ต่ำกว่า 3 เดือน ควรสังเกตตัวเองแล้วรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและเข้ารับการรักษาทันที ก่อนปัญหาสุขภาพจะเรื้อรังและรุนแรง

ถึงแม้ว่าโรคกินไม่หยุด จะไม่ใช่โรคที่ร้ายแรงมากนัก แต่ก็สามารถกระทบกับการดำเนินชีวิตและสภาพจิตใจของผู้ป่วยได้ นอกจากนี้หากไม่รักษาอาการอย่างเหมาะสม พฤติกรรมกินเยอะเป็นช่วงๆ อาจนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพ

อ้างอิง : ศูนย์โรคอาหารทางเดินและตับ โรงพยาบาลกรุงเทพ  ,โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สภากาชาดไทยโรงพยาบาลรามคำแหง