‘ศิลปาชีพ’ พระพันปีหลวง อนุรักษ์ผ้าไทย หัตถกรรมพื้นบ้าน พลิกชีวิตคนไทย

“...ข้าพเจ้านั้นภูมิใจเสมอมาว่า คนไทย มีสายเลือดของช่างฝีมืออยู่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นชาวไร่ ชาวนา หรืออาชีพใด อยู่สารทิศใดคนไทยมีความละเอียดอ่อน และไวต่อการรับศิลปะทุกชนิด ขอเพียงแต่ให้เขาได้โอกาสฝึกฝน เขาก็จะแสดงความสามารถออกมาให้เห็นได้...”
KEY
POINTS
- พระพันปีหลวง มีพระราชดำริว่าควรส่งเสริมให้ราษฎรทอผ้าไหมเป็นอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง และมีพระราชเสาวนีย์ให้ชาวบ้านทอผ้าส่งถวาย พระองค์จะทรงรับซื้อ เกิดการฟื้นฟู และส่งเสริมหัตถกรรมทอผ้า
- กว่า 60 ปี พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงให้ความสำคัญ และทุ่มเทพระวรกายในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และส่งเสริมการใช้ผ้าไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังทรงเป็นแบบอย่างในการใช้ผ้าไทยด้วยพระองค์เอง
- ทรงใช้เป็นชุดไทยประจำชาติในระหว่างที่เสด็จฯ ไปทรงเยือนต่างประเทศ ไทยจึงได้มีชุดไทยประจำชาติที่สง่างาม และเหมาะสมไว้ใช้ในโอกาสต่างๆ มาจนทุกวันนี้ ซึ่งเรียกกันว่า ‘ชุดไทยพระราชนิยม’
พระราชดำรัส สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๓๒
การเสด็จสวรรคต ของ สมเด็จพระพันปีหลวง นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศ และสร้างความโศกเศร้าแก่ประชาชนชาวไทยทุกคน บรรยากาศแห่งความอาลัยจึงไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะแค่ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง แต่กระจายไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย
ชาวไทยทุกคนต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีต่อประเทศชาติ และประชาชน พระราชกรณียกิจที่สำคัญ และเป็นที่ประจักษ์มีมากมายหลายด้าน ทั้ง ด้านการส่งเสริมอาชีพและศิลปวัฒนธรรม ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสาธารณสุข ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และด้านการศึกษา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
'ในหลวง-พระราชินี' เสด็จฯ เชิญพระบรมศพ 'สมเด็จพระพันปีหลวง'
รำลึกพระราโชวาท สมเด็จพระพันปีหลวง ด้านการทำงาน มรดกธรรมราชินี
"ศิลปาชีพ" ช่วยเหลือประชาชนในทุกพื้นที่
“ศิลปาชีพ” เป็นงานสําคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ทรงงานช่วยเหลือประชาชนในชนบทอย่างใกล้ชิด ด้วยความละเอียด และประณีตของพระองค์ ได้ทรงสังเกตเห็นว่า หัตถกรรมพื้นบ้านที่มีอยู่ในท้องถิ่นต่างๆ นั้น ล้วนแต่มีคุณค่า และมีความงดงามซ่อนอยู่ อันเป็นเอกลักษณ์ประจําในแต่ละท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องจักสาน เครื่องปั้นดินเผา ที่ชาวบ้านทําขึ้นใช้เองในการดํารงชีวิต
ด้วยสายพระเนตรที่กว้างไกล จึงทรงเห็นว่า ถ้าได้มีการส่งเสริม และพัฒนางานด้านศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านอย่างจริงจังแล้ว จะเกิดประโยชน์ถึงสองทาง คือ ประการแรก เป็นการช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่ชาวบ้าน และประการที่สอง คือ เป็นการอนุรักษ์ศิลปะพื้นบ้านโบราณ อันเป็นสมบัติล้ำค่าของชาติไทยให้คงอยู่ต่อไป
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงตระหนักถึงความสำคัญของชาวไร่ ชาวนาผู้ผลิตอาหาร ซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของมนุษย์ จึงทรงพระราชดำริที่จะจัดหาอาชีพเสริมให้แก่เกษตรกรเหล่านี้ เพื่อให้เกษตรกรมีกำลังใจที่จะทำนา ทำไร่ต่อไป ไม่ต้องขายที่ดิน ไม่ต้องเป็นหนี้สิน และไม่ต้องทิ้งถิ่นไปทำมา หากินตามเมืองใหญ่ อันจะก่อให้เกิดปัญหาความแออัดของชุมชนในเมืองใหญ่ตามมาอีก
สิ่งที่จะเป็นอาชีพเสริมนั้น จะต้องเป็นอาชีพที่ประกอบอยู่ที่บ้านได้ในเวลาที่ว่างจากการทำไร่ ทำนา หรือเมื่อดินฟ้าอากาศไม่อำนวยให้เพาะปลูก หรือแม้แต่ผู้ไม่มีดินจะเพาะปลูก ก็จะสามารถประกอบอาชีพเสริมนี้ได้ด้วยทรัพยากรธรรมชาติหรือวัตถุดิบที่มีอยู่ในท้องถิ่นของตน และด้วยภูมิปัญญาตลอดจนด้วยฝีมือของเขาเอง
นี่คือที่มาของพระราชดำริในการนำศิลปหัตถกรรมมาเป็นอาชีพเสริมให้แก่ชาวไร่ชาวนาไทย
กำเนิดมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในพระพันปีหลวง
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ทรง อุทิศพระองค์ทรงงานตามแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระบรมชนการิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อให้ราษฎรหลุดพ้นจากความยากจน ด้วยการ พระราชทานอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ ในการทรงงานดังกล่าวทรงเริ่มต้น และทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์อยู่เป็นเวลานาน
ต่อมา ข้าราชบริพารได้ขอโดยเสด็จพระราชกุศล รวบรวมผู้มีจิตศรัทธานำเงินขึ้น ทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อก่อตั้ง "มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในพระบรมราชินูปถัมภ์" ขึ้นเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พุทธศักราช 2519 ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น "มูลนิธิส่งเสริม ศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ" ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงรับเป็นประธานกรรมการบริหารมูลนิธิฯ และทรงงานศิลปาชีพอย่างต่อเนื่อง
นอกจากงานทอผ้าไหมมัดหมี่ในภาคอีสาน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของศิลปาชีพแล้ว มูลนิธิฯ ยังส่งเสริมงานหัตถศิลป์อื่นๆ เช่น ผ้าไหมแพรวา ผ้าปักของชาวไทยภูเขา ผ้าปักซอยแบบไทย ถมเงินถมทอง งานประดับปีกแมลงกับเครื่องปั้นดินเผา งานจักสานไม้ไผ่ลายชิด งานจักสานย่านลิเภา เครื่องเงิน ไม้แกะสลัก และอื่นๆ อีกมาก ด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเชื่อมั่นว่าคนไทยทั้งหลายนั้นมีสายเลือดของความเป็นช่าง เพียงได้รับโอกาสก็จะสามารถสร้างงานอันวิจิตรได้ มีพระราชดำริให้สร้างสรรค์งานฝีมือจากวัตถุดิบในท้องถิ่น รักษาภูมิปัญญาดั้งเดิมร่วมกับการคิดค้นเทคนิควิธีใหม่ๆ ผลงานศิลปาชีพในแต่ละภูมิภาคจึงมีเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่นอย่างชัดเจน
อนุรักษ์ ฟื้นฟู และส่งเสริมการใช้ผ้าไทยชื่อเสียงก้องโลก
กว่า 60 ปีที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงให้ความสำคัญ และทุ่มเทพระวรกายในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และส่งเสริมการใช้ผ้าไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังทรงเป็นแบบอย่างในการใช้ผ้าไทยด้วยพระองค์เอง เพื่อให้ประชาชนมีรายได้เสริม ตลอดจนเพื่อธำรงรักษา และฟื้นฟูศิลปหัตถกรรมแบบไทยโบราณที่กำลังจะเสื่อมสูญไปตามกาลเวลาให้กลับมาแพร่หลาย นับเป็นพระราชกรณียกิจสำคัญที่ปัจจุบันผลิดอกออกผลอย่างเป็นรูปธรรม และยั่งยืนสมดั่งพระราชปณิธานในทุกมิติ
พระพันปีหลวงโปรดผ้าทอพื้นเมืองมาก ทรงสนพระราชหฤทัย และเล็งเห็นคุณค่าความงดงามอันมีเอกลักษณ์ของผ้าทอท้องถิ่น ย้อนกลับไปในปี 2513 พระองค์ได้โดยเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ไปทรงเยี่ยมประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม อ. นาหว้า จ.นครพนม ทอดพระเนตรหญิงชาวบ้านที่มารอรับเสด็จนุ่งซิ่นผ้าไหมมัดหมี่ที่มีความสวยงาม ทรงสนพระราชหฤทัยยิ่ง และไต่ถามจนได้ความว่าชาวบ้านทอผ้าไหมมัดหมี่ไว้ใช้เองทุกครัวเรือน
คนไทยส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ทางภาคอีสานนั้นมีเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลัก ในขณะเดียวกันการทอผ้าก็เป็นภูมิปัญญา และสิ่งที่ชาวบ้านคุ้นเคย แต่ละพื้นถิ่นพื้นจะมีลวดลาย และความงามของการทอผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ ขาดเพียงผู้สนับสนุน ส่งเสริม และเปิดโอกาสให้ช่างทอผ้าชาวบ้านเหล่านั้นได้เห็นความเป็นไปได้ใหม่ๆ พระพันปีหลวงจึงมีพระราชดำริว่าควรส่งเสริมให้ราษฎรทอผ้าไหมมัดหมี่เป็นอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง และมีพระราชเสาวนีย์ให้ชาวบ้านทอผ้าส่งถวาย พระองค์จะทรงรับซื้อ ทำให้เกิดการฟื้นฟู และส่งเสริมหัตถกรรมทอผ้า นอกเหนือจากอาชีพเกษตรกรรม
นอกจากนี้ พระพันปีหลวงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อตั้งมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในปี 2519 เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศให้มีรายได้เสริมจากงานหัตถกรรมทอผ้า และหัตถกรรมประเภทอื่นๆ ในระยะยาว นับเป็นการเปิดกว้างให้ชาวบ้านได้แสดงความสามารถในการสร้างสรรค์งานฝีมือ สร้างรายได้ และพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งยั่งยืน มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ยังได้วางรากฐานสำคัญในการต่อยอดผ้าไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับสากล ด้วยการแนะนำชาวบ้านให้ปรับการทอให้มีขนาดที่เป็นมาตรฐานมากขึ้น ให้ความรู้เรื่องเทคนิคการทอผ้าใหม่ๆ ลองทำการทดลองที่อาจนำไปสู่การสร้างลวดลายที่แตกต่างไปจากเดิมได้ รวมถึงยังมีการลงพื้นที่เพื่อรวบรวม และเก็บตัวอย่างลายผ้าทอในแต่ละท้องถิ่นทุกชิ้นอย่างเห็นคุณค่า การที่พระพันปีหลวงทรงมีพระราชดำริที่ครบวงจรนี้ นับเป็นคุณประโยชน์ใหญ่หลวงต่อราษฎร ดังพระราชดำริที่ว่า “ขาดทุนของข้าพเจ้า คือกำไรของชาติ”
นอกจากการสร้างรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิต หนึ่งในพระราชปณิธานที่สำคัญของพระพันปีหลวง คือ การสนับสนุน และส่งเสริมให้ประชาชนชาวไทยเห็นคุณค่าของผ้าไทย ซึ่งเป็นสมบัติคู่ชาติมาอย่างยาวนานนับหลายร้อยปี เพื่อให้เกิดการอนุรักษ์ รักษา สืบสาน และต่อยอดมรดกทางภูมิปัญญา ให้คงอยู่คู่ผืนแผ่นดินไทย และก้าวไกลไปสู่ระดับสากล
ทรงเชิดชูศิลปวัฒนธรรมไทย "ชุดไทยพระราชนิยม"
กำเนิดไทยก็ยาวนานนับพันปี สิ่งดีดีก็มากมายไทยมีอยู่
รอแต่คนค้นหามาเชิดชู ให้โลกรู้ให้โลกเห็นความเป็นไทย
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงตระหนักดีว่าเมืองไทยนี้มีศิลปวัฒนธรรมอันดีงามมาแต่ครั้งบรรพบุรุษ หากสมัยนี้ลูกหลานไทยสนใจแต่อารยธรรมสมัยใหม่ หรือวัฒนธรรมของชาติอื่น มิช้าอดีตที่ไทยเคยยิ่งใหญ่รุ่งเรืองไม่แพ้ชาติใดๆ ก็คงจะลบเลือนหายไป ดังนั้นจึงทรงหยิบยกตัวอย่าง ของความเป็นไทยอันงดงามมาเชิดชูให้ปรากฏเพื่อเตือนตาเตือนใจไทยให้รำลึกไว้เสมอว่าคนไทยเรา มีฝีมือทุกด้านควรแก่การภาคภูมิใจ
เมื่อพุทธศักราช 2503 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีกำหนดการที่จะตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ไปทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรป และประเทศสหรัฐอเมริกา ทรงพระราชดำริว่า แม้เราจะมีเอกลักษณ์ และวัฒนธรรมในการแต่งกายของเราเองอยู่แล้วแต่สตรีไทยก็ยังไม่มีเครื่องแต่งกายชุดประจำชาติ จึงมีพระราชเสาวนีย์ให้ผู้ที่เชี่ยวชาญในการออกแบบเครื่องแต่งกาย คิดปรับปรุงแบบเสื้อที่สตรีไทยแต่งกันมาแต่โบราณกาลให้ทันสมัย เพื่อทรงใช้เป็นชุดไทยประจำชาติในระหว่างที่เสด็จฯ ไปทรงเยือนต่างประเทศครั้งนั้น ผลก็คือไทยเราได้มีชุดไทยประจำชาติที่สง่างาม และเหมาะสมไว้ใช้ในโอกาสต่างๆ มาจนทุกวันนี้ ซึ่งเรียกกันว่า ‘ชุดไทยพระราชนิยม’
ชุดไทยพระราชนิยม มีดังนี้
1. ชุดไทยเรือนต้น 2. ชุดไทยจิตรลดา 3. ชุดไทยอมรินทร์ 4. ชุดไทยบรมพิมาน
5. ชุดไทยจักรี 6. ชุดไทยดุสิต 7. ชุดไทยศิวาลัย 8. ชุดไทยจักรพรรดิ์
จะสังเกตว่า ชื่อชุดไทยต่างๆ เหล่านี้ เป็นชื่อเกี่ยวกับพระที่นั่งหรือพระตำหนัก ซึ่งมีความสอดคล้องกันกับโอกาส และความเหมาะสมในการใช้เครื่องแต่งกายชุดไทยด้วย
ปัจจุบันนี้ ชุดไทยประจำชาติได้เป็นที่นิยมในหมู่สตรีไทย และสังคมไทยทั่วไป ทั้งยังได้เผยแพร่ชื่อเสียงความงดงามด้วยศิลปะทั้งปวงไปยังนานาประเทศ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่บรรดาสตรีไทย ที่ได้พระราชทานแนวพระราชนิยมเป็นแบบแผนการแต่งกายประจำชาติสำหรับสตรีขึ้น เป็นการส่งเสริมเชิดชูศิลปวัฒนธรรมไทยตามลำดับยุคสมัย ที่จะต้องปรากฏต่อไปเป็นประวัติศาสตร์ของชาติสืบชั่วกาลนาน
พระราชกรณียกิจ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง หน่วยราชการในพระองค์ ขอเผยแพร่พระราชกรณียกิจในด้านต่างๆ เพื่อน้อมถวายความอาลัย ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
เมื่อหลายสิบปีก่อน ประเทศเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงของไทย ประสบปัญหาภายในประเทศอย่างรุนแรงจนอาจกล่าวได้ว่าตกอยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด แผ่นดินลุกเป็นไฟไปแทบทั้งสิ้น มีเพียงประเทศไทยเท่านั้น ที่ยั่งยืนยงอยู่ได้ท่ามกลางไฟสงครามที่ลุกอยู่รอบๆ ประเทศ แม้กระนั้น ทหาร ตำรวจพลเรือน และอาสาสมัครผู้ป้องกันประเทศชาติ ก็ต้องบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากในการปะทะกับกองกำลังต่างชาติตามแนวชายแดน รวมทั้งกับผู้ก่อการร้ายภายในประเทศ
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงห่วงใยในปัญหาความมั่นคงของชาติ และเจ้าหน้าที่ผู้เสียสละเหล่านี้อย่างยิ่ง พระองค์โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ไปทรงเยี่ยมเยียนพวกเขาเหล่านี้จนถึงฐานปฏิบัติการ ทรงนำเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นไปพระราชทาน และหลายครั้งที่ทรงนำพระเครื่องไปพระราชทานเพื่อเป็นการสร้างขวัญ และกำลังใจ ยามใดที่มีข่าวการปะทะ และต้องสูญเสียบุคคลเหล่านี้ ก็ทรงเศร้าสลดพระราชหฤทัย และจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานความช่วยเหลือแก่บุคคลนั้นรวมทั้งครอบครัวทันที
จนถึงวันที่ 2 เมษายน พุทธศักราช 2518 อันเป็นวันคล้ายวันสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร มหาวชิราลงกรณวรราชภักดี สิริกิจการิณีพีรยพัฒน รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี จึงทรงก่อตั้งมูลนิธิสายใจไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ขึ้น เพื่อให้การสงเคราะห์แก่ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และอาสาสมัครผู้บาดเจ็บหรือพิการ ตลอดจนครอบครัวของผู้ที่พิการหรือเสียชีวิต นอกเหนือจากสิทธิที่จะได้รับความช่วยเหลือจากทางราชการ
ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ที่ปฏิบัติการอยู่แนวหน้าเกิดความอบอุ่นใจว่ายังมีแนวหลังคอยห่วงใย เมื่อบาดเจ็บล้มตายก็จะไม่ถูกทอดทิ้งให้เผชิญชีวิตอยู่เพียงลำพัง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร มหาวชิราลงกรณวรราชภักดี สิริกิจการิณีพีรยพัฒน รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นประธานมูลนิธิสายใจไทยฯ มาจนปัจจุบัน
แต่แม้จะมีมูลนิธิสายใจไทยฯ มาช่วยรับภาระส่วนใหญ่ไปแล้วก็ตาม สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ยังทรงพระกรุณาให้จัดอาหารจากห้องเครื่องในสวนจิตรลดาไปพระราชทานแก่ทหารที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าอยู่เสมอ โดยพระราชทานทหารผู้บาดเจ็บจากการปะทะตามแนวชายแดนที่กำลังรักษาตัวอยู่ ทหารจากชายแดนที่ต้องรักษาอาการบาดเจ็บพิการอย่างต่อเนื่อง และทหารที่กำลังรอรับอวัยวะเทียม ซึ่งได้ทรงพระกรุณาพระราชทานมาตั้งแต่ครั้งที่ทหารไทยรุ่นจงอางศึกไปรบในสงครามเวียดนาม นับเป็นเวลาเกือบสามสิบปีมาแล้ว ทั้งยังมีพระราชเสาวนีย์ให้จัดเจ้าหน้าที่จากกองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ไปเยี่ยมดูอาการของทหารผู้บาดเจ็บทุกสัปดาห์ เมื่อฤดูร้อนมาถึง ยังโปรดให้จัดไอศกรีมไปพระราชทานเป็นพิเศษอีกด้วย
นอกเหนือจากที่ทรงเป็นกำลังใจให้ผู้ที่ปฏิบัติการอยู่แนวหน้าแล้ว แนวหลังก็มีความสำคัญมิใช่น้อย ทรงสนับสนุนให้แนวหลังมีความรักชาติ ความสามัคคี และมีวินัย เช่น ทรงสนับสนุนกิจกรรมของลูกเสือแห่งชาติ และลูกเสือชาวบ้าน โดยสืบเนื่องมาเป็นระยะเวลายาวนานดังที่ได้เห็นประจักษ์กันอยู่จนทุกวันนี้
ผู้ทรงสืบสานงานศิลปหัตถกรรมไทย สู่มรดกทรัพย์สินทางปัญญา
กรมทรัพย์สินทางปัญญา น้อมรำลึก พระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีพระราชปณิธานอันแน่วแน่ในการอนุรักษ์ และสืบสานงานศิลปหัตถกรรมไทยให้คงอยู่คู่แผ่นดิน ทรงส่งเสริมพัฒนางานศิลปะ และหัตถกรรมพื้นบ้านทั่วประเทศ
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์การทอผ้าพื้นเมือง และส่งเสริมให้ชาวบ้านรักษาลวดลาย สีสัน และกรรมวิธีดั้งเดิม เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น และต่อยอดเป็นทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อสร้างอาชีพ และรายได้อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญลักษณ์นกยูงไทย 4 สี ให้เป็นเครื่องหมายรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ผ้าไหมแท้ที่ผลิตจากประเทศไทย ประกอบด้วย 1) นกยูงสีทอง (Royal Thai Silk) สำหรับการรับรองผ้าไหมไทยแท้ระดับพรีเมียม ซึ่งผลิตด้วยเส้นไหม และกรรมวิธีดั้งเดิมตามภูมิปัญญาพื้นบ้าน 2) นกยูงสีเงิน (Classic Thai Silk) สำหรับการรับรองผ้าไหมไทยแท้ที่ทอขึ้นตามภูมิปัญญาพื้นบ้านผสมผสานกับการใช้เครื่องมือในบางขั้นตอน 3) นกยูงสีน้ำเงิน (Thai Silk) สำหรับการรับรองผ้าไหมไทยแท้ที่ผลิตด้วยภูมิปัญญาของไทยแบบประยุกต์ ใช้เทคโนโลยีการผลิตให้เข้ากับสมัยนิยม และเป็นเชิงธุรกิจ และ 4) นกยูงสีเขียว (Thai Silk Blend)
จดทะเบียนรองรับตรานกยูงพระราชทานในต่างประเทศ
สำหรับการรับรองผ้าไหมไทยแท้ที่ผลิตด้วยกระบวนการผลิต และเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยใช้เส้นไหมแท้ผสมผสานกับเส้นใยอื่นที่ได้จากธรรมชาติหรือเส้นใยสังเคราะห์รูปแบบต่างๆ ตามวัตถุประสงค์การใช้งาน โดยเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2547 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้ยื่นจดทะเบียนเครื่องหมายรับรองตรานกยูงพระราชทานต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา ตามบทบัญญัติมาตรา 82 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534
และต่อมาได้มีการโอนสิทธิเครื่องหมายรับรองตรานกยูงพระราชทาน มายังกรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2553 เพื่อเป็นหน่วยงานกำกับดูแลคุณภาพมาตรฐานการรับรองผ้าไหมไทย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้เครื่องหมายรับรองดังกล่าวให้แพร่หลายทั่วโลก จึงได้มีการจดทะเบียนเครื่องหมายรับรองตรานกยูงพระราชทานในต่างประเทศอีก 35 ประเทศ ได้แก่ กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป (27 ประเทศ) สหรัฐอเมริกา จีน ฮ่องกง อินเดีย นอร์เวย์ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งสะท้อนมาตรฐานการผลิต และความพิถีพิถันของช่างทอผ้าไทยที่สืบทอดภูมิปัญญามาจากรุ่นสู่รุ่น และยังเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมให้ผู้ผลิตและผู้ประกอบการผ้าไหมทั่วประเทศพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐานสากล เพิ่มมูลค่าเชิงพาณิชย์ให้ผลิตภัณฑ์ไทย และปกป้องชื่อเสียง และภูมิปัญญาของไทยในเวทีโลก
นางอรมน กล่าวว่า ตรานกยูงพระราชทาน ไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์แห่งคุณภาพของผ้าไหมไทย แต่ยังเป็นเครื่องหมายแห่งพระเมตตา และพระวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ที่ทรงมุ่งมั่นยกระดับภูมิปัญญาไทยสู่ระดับนานาชาติ โดยส่งเสริมให้มีการออกแบบ สร้างสรรค์ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อเป็น “สินค้าทางวัฒนธรรม” ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและเศรษฐกิจยุคใหม่
โดยยังคงไว้ซึ่งเสน่ห์ และอัตลักษณ์ของความเป็นไทย ถือเป็นรากฐานสำคัญของแนวคิดเศรษฐกิจฐานวัฒนธรรมของประเทศ โดยสินค้าทางวัฒนธรรมตามแนวพระราชดำริของพระองค์ ที่ได้รับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญามีอยู่หลากหลายประเภท โดยเฉพาะผลงานภายใต้มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยเป็นผลงานลิขสิทธิ์ รวม 209 ผลงาน ได้แก่ งานศิลปกรรม (ประติมากรรมและศิลปะประยุกต์) 200 ผลงาน เช่น รูปปั้นคุณทองแดง เรือพระที่นั่งศรีประภัศรไชยจำลอง เชิงเทียนรูปดอกบัว เป็นต้น งานวรรณกรรม(งานนิพนธ์) 1 ผลงาน ได้แก่ บทร้อยกรอง “ศิลป์แผ่นดิน” คร่ำทอง งานโสตทัศนวัสดุ 1 ผลงาน ได้แก่ พระราชกรณียกิจสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ “สืบสานตำนานไทย” งานอื่นๆ (กล่องถมเครื่องเงิน) 7 ผลงาน เช่น ฉากปักไหมน้อย เรื่อง อิเหนา ลายโคมหงส์ มณฑล
นอกจากนี้ ยังมีผลงานที่ได้รับการจดทะเบียนสิทธิบัตรการประดิษฐ์ 8 ฉบับ เช่น สบู่ไหมชนิดก้อนที่ใช้ผงไหมเซริซินที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ และช่วยกำจัดจุลินทรีย์บางชนิดที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนัง (สิทธิบัตรฉบับแรกที่ได้รับการจดทะเบียน เมื่อปี 2546) วิธีการผลิตวัสดุตกแต่งผิวปีกแมลงทับ เพื่อนำปีกแมลงทับมาประดิษฐ์เป็นเครื่องประดับชนิดต่างๆ (ปี 2547) องค์ประกอบข้าวปรุงหลายชนิด
โดยมีส่วนผสมของข้าวกล้องขาวดอกมะลิ ข้าวกล้องหอมแดง ข้าวเหนียวกล้อง และข้าวเจ้าขาวดอกมะลิ ที่มีคุณค่าทางโภชนาการ(ปี 2548) เครื่องผลิตเส้นไหมขัดฟัน (ปี 2555) เป็นต้น รวมทั้งจดทะเบียนสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์31 ฉบับ เช่น งานออกแบบขัน ถาด จานรอง เชิงเทียน เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นทรัพย์สินทางปัญญา และสินค้าทางวัฒนธรรมที่ช่วยเพิ่มพูนรายได้ สร้างอาชีพ และความมั่นคงทางวัฒนธรรมได้อย่างแท้จริง
น้อมนำพระราชดำริขับเคลื่อนทรัพย์สินทางปัญญา
ทั้งนี้ กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ร่วมสืบสานพระราชปณิธาน และน้อมนำแนวพระราชดำริมาเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนภารกิจด้านทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะการส่งเสริมสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ซึ่งสินค้าที่มีความพิเศษ เป็นชื่อเสียงหรืออัตลักษณ์ของชุมชน โดยมีการขึ้นทะเบียนผ้า GI ไทยกว่า 17 รายการ อาทิ ผ้าไหมแพรวากาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นผ้าไหมที่ทอประดิษฐ์ลวดลายด้วยการขิด และการจก ใช้เส้นไหมตีเกลียวเป็นทั้งเส้นยืน และเส้นพุ่ง และมีเส้นไหมเพิ่มพิเศษในการทำให้เกิดลวดลายเป็นเอกลักษณ์ตามกรรมวิธีการผลิตที่สืบทอดกันมา ผ้าไหมยกดอกลำพูน ซึ่งเป็นผ้าไหมที่ทอยกลวดลายให้สูงกว่าผืนผ้า
โดยการเลือกยกบางเส้น และข่มบางเส้นเพื่อให้เกิดลวดลายโดยใช้ตะกอลอย และใช้เส้นไหมตีเกลียวเป็นทั้งเส้นยืน และเส้นพุ่ง รวมทั้งใช้เส้นไหมพิเศษทอยกลวดลายอย่างปราณีต เป็นต้น นอกจากนี้ กรมยังส่งเสริมการทำระบบควบคุมคุณภาพสินค้า GI เพื่อรักษามาตรฐานการผลิต ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคว่าได้รับของดีมีคุณภาพที่มาจากแหล่งผลิตโดยตรง รวมทั้งต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านการพัฒนาบรรจุภัณฑ์สินค้า GI และผลักดันแหล่งผลิตให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ตลอดจนการส่งเสริมช่องทางการตลาดสินค้า GI ทั้งใน และต่างประเทศ เช่น การจัดงาน GI Market การจำหน่ายสินค้าในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และแพลตฟอร์มออนไลน์ พร้อมสร้างการรับรู้สินค้า GIในต่างประเทศ โดยนำผ้าไหมยกดอกลำพูน และผ้าตีนจกแม่แจ่ม (เชียงใหม่) มาออกแบบชุดสวมใส่ให้กับประติมากรรมแมนเนแกน พิส ซึ่งเป็นรูปปั้นเด็กสัญลักษณ์ประจำกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เป็นต้น
ทั้งนี้ ปัจจุบันสินค้าผ้า GI ทั้ง 17 รายการ กลายเป็นสินค้าเศรษฐกิจที่สำคัญของจังหวัดต่างๆ มีปริมาณการผลิตรวมกว่า 280,000 ชิ้นต่อปี และสามารถสร้างรายได้สู่ชุมชนรวมกว่า 490 ล้านบาทต่อปี ตอกย้ำภาพลักษณ์สินค้า GI ซึ่งถือเป็นสินค้าคุณภาพที่มีเอกลักษณ์ เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง ช่วยสร้างอาชีพ และยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชนท้องถิ่นได้อย่างยั่งยืน
กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ขอน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ของสมเด็จฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงเป็นแม่ของแผ่นดิน และทรงเป็นต้นแบบในการสืบสาน และเผยแพร่คุณค่าของงานหัตถศิลป์ให้คงอยู่คู่แผ่นดินไทยตราบนานเท่านาน อีกทั้งยังทรงเป็นแรงบันดาลใจให้กับช่างฝีมือ และนักออกแบบรุ่นใหม่ในการพัฒนา และต่อยอดการใช้ประโยชน์ทรัพย์สินทางปัญญาสู่ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน และความเจริญมั่นคงของประเทศชาติสืบไป
อ้างอิง:สำนักงานพระคลังข้างที่ , สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) , หน่วยราชการในพระองค์
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







