'ในหลวง-พระราชินี' เสด็จฯ เชิญพระบรมศพ 'สมเด็จพระพันปีหลวง'

"ในหลวง-พระราชินี" พระบรมวงศานุวงศ์ เชิญพระบรมศพ สมเด็จพระพันปีหลวง กลับสู่พระบรมมหาราชวัง พสกนิกรร่ำไห้ก้มกราบถวายอาลัยตลอดเส้นทาง
วันนี้ (26 ตุลาคม 2568) เวลา 15.42 น. ที่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร และเจ้าคุณพระสินีนาถ พิลาสกัลยาณี ออกจากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปยังอาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
เมื่อเสด็จพระราชดำเนินฯ ถึงอาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ เสด็จขึ้น ชั้น 29 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร มหาวชิราลงกรณวรราชภักดี สิริกิจการิณีพีรยพัฒน รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ และท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน รอรับเสด็จ
จากนั้น สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เดินนำขบวนเชิญพระบรมศพลงจากอาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ คณะแพทย์ และพยาบาลที่ถวายการรักษาพยาบาลเลื่อนพระแท่นพยาบาล เชิญพระบรมศพเข้าสู่ลิฟต์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พร้อมพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จตามพระบรมศพ
เมื่อเชิญพระบรมศพถึงชั้นล่างของอาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ คณะแพทย์ และพยาบาลเชิญพระแท่นพยาบาลพระบรมศพขึ้นรถยนต์หลวง ทะเบียน ร.ย.ล. 1ด-0929 เชิญพระบรมศพที่จอดเทียบหน้าอาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ คณะแพทย์ และพยาบาลที่ถวายการรักษา ตามเสด็จฯ ในรถยนต์หลวงเชิญพระบรมศพ
จากนั้น เวลา 16.26 น. ขบวนรถเชิญพระบรมศพออกจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ไปยัง พระบรมมหาราชวัง มีรถสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ นำขบวน ตามด้วยรถเชิญพระบรมศพ และขบวนรถพระที่นั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
เมื่อขบวนรถเชิญพระบรมศพ เคลื่อนออกจากหน้าอาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ คณะแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ พร้อมด้วยนิสิตแพทย์ นักศึกษาพยาบาลโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และประชาชน พร้อมใจกันก้มกราบแสดงความอาลัยถวาย และร่ำไห้
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มีพระนามเดิมว่า "หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร" เป็นพระธิดาพระองค์ใหญ่ในพลเอก พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ หรือหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กับหม่อมหลวงบัว กิติยากร ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันศุกร์ ที่ 12 สิงหาคม 2475 โดยได้รับพระราชทานนามจากสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า "สิริกิติ์" ซึ่งมีความหมายว่า "ผู้เป็นศรีแห่งกิติยากร"
หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร เริ่มเรียนชั้นอนุบาลที่โรงเรียนราชินี แล้วย้ายไปเรียนต่อในชั้นประถม และมัธยมต้นที่โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ จนกระทั่งรัฐบาลแต่งตั้งให้ หม่อมเจ้านักขัตรมงคล ไปดำรงตำแหน่งอัครราชทูตประจำประเทศอังกฤษ ในปี 2489 หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ จึงติดตามครอบครัวไปประเทศอังกฤษ และเรียนต่อวิชาเปียโน ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส กับครูพิเศษ
ในปี 2490 หม่อมเจ้านักขัตรมงคล ทรงย้ายไปดำรงตำแหน่งอัครราชทูตประจำฝรั่งเศส และเดนมาร์ก ต่อมาในปี 2491 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร อดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินเยือนสถานทูตไทย ณ กรุงปารีส จึงได้ทรงพบกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จนิวัตประเทศไทย เพื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ในปี 2493 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ตามเสด็จกลับมาเพื่อการนี้ด้วย จากนั้น มีพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ณ วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 โดยสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงเป็นประธาน และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงสถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ เป็น "สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์"
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเฉลิมพระอิสริยยศสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ เป็น "สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี" เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2493 ซึ่งเป็นวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยมีพระราชโอรส และพระราชธิดา 4 พระองค์ คือ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี
ทั้งนี้ เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระผนวชตามโบราณราชประเพณี ในปี 2499 ทรงแต่งตั้งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้อย่างเรียบร้อยสมบูรณ์ เมื่อทรงลาผนวชแล้ว จึงทรงสถาปนาสมเด็จพระบรมราชินี เป็น "สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ"
โดยทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎรทุกหมู่เหล่า ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน ทั้งทรงริเริ่มโครงการพระราชดำริต่าง ๆ มากมายทั่วประเทศ ซึ่งล้วนยังประโยชน์มหาศาลแก่ปวงชนชาวไทยสืบมาจนทุกวันนี้
เวลา 17.04 นาฬิกา ขบวนรถเชิญพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผ่านประตูวิเศษไชยศรี ประตูพิมานไชยศรี ไปยังพระที่นั่งพิมานรัตยา ในพระบรมมหาราชวัง โดยมี ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ, และท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับเสด็จ
ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จเข้าภายในพระฉาก ซึ่งพระบรมศพฯ บรรทมอยู่บนพระแท่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยสำหรับพระบรมศพ บูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวารของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงคม
จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะพระบรมศพฯ ทรงกราบ
ต่อจากนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พระบรมวงศานุวงศ์ ถวายน้ำสรงที่พระบาทพระบรมศพฯ
จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับหม้อทองคำลายกลีบบัวบรรจุน้ำสรง ผอบแก้วบรรจุน้ำขมิ้น และผอบแก้วบรรจุน้ำสุคนธ์ จากเจ้าพนักงานสนมพลเรือน ทรงสรงที่พระอุระพระบรมศพ
ต่อจากนั้น ทรงหวีพระเกศาพระบรมศพฯ ขึ้นครั้งหนึ่ง ทรงหวีลงครั้งหนึ่ง แล้วทรงหวีขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แล้วทรงหักพระสางนั้นวางไว้ในพาน ซึ่งเจ้าพนักงานเชิญอยู่
จากนั้น ทรงวางซองพระศรีทองคำลงยาบรรจุดอกบัวตูม และธูปเทียน ที่พระอุระพระบรมศพฯ ทรงรับแผ่นทองคำจำหลักลายดุนมีพระกรรณปิดพระพักตร์ ทรงวางพระชฎาทองคำลงยาข้างพระเศียรพระบรมศพ
ในการนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ เชิญพระหีบพระบรมศพ ไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ขึ้นประดิษฐานบนพระแท่นแว่นฟ้าทอง
ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ เชิญพระหีบพระบรมศพขึ้นประดิษฐานบนพระแท่นแว่นฟ้าทอง พระ ตำรวจหลวงคลุมผ้าเยียรบับบนพระหีบพระบรมศพ ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ คลุมพระหีบพระบรมศพด้วยธงสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงใหญ่ เสร็จแล้ว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงวางพวงมาลาที่หน้าพระโกศพระบรมศพ
(ขณะนั้น เจ้าพนักงานประโคมสังข์ แตรงอน แตรฝรั่ง ปี่กลองชนะ ปี่พาทย์ ทหารกองเกียรติยศพระบรมศพถวายความเคารพ ดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี เจ้าพนักงานนิมนต์พระสงฆ์ 11 รูปในจำนวน 93 รูปเท่าพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ขึ้นนั่งยังอาสน์สงฆ์)
จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะทองลงยาราชาวดี ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย ทรงกราบ
และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะทองลงยารอง ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย ทรงกราบ
ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการพานทองสองชั้นบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ที่หน้าพระแท่นพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร ทรงกราบ
เมื่อเจ้าพนักงานลาดพระภูษาโยง เสร็จแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทอดผ้าไตร 11 ไตร (เที่ยวแรก) พระสงฆ์สดับปกรณ์ ทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา เจ้าพนักงานนิมนต์พระสงฆ์อีกเที่ยวละ 11 รูป จำนวน 2 เที่ยว และเที่ยวละ 10 รูป จำนวน 6 เที่ยว ขึ้นนั่งยังอาสน์สงฆ์ ทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์สดับปกรณ์ ทรงปฏิบัติเช่นนี้จนเที่ยวสุดท้าย
จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระดำเนินไปทรงจุดธูปเทียนเครื่องบูชากระบะมุกที่หน้าพระแท่นเตียงพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมด้านตะวันออก และด้านตะวันตก ณ มุขเหนือพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท แล้วประทับพระราชอาสน์
(พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม) เมื่อพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม ครบ 4 จบ เจ้าพนักงานนิมนต์พระราชาคณะ 1 รูปที่จะถวายอดิเรก และพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม 8 รูป นั่งยังอาสน์สงฆ์พร้อมแล้ว เจ้าพนักงานลาดพระภูษาโยง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระดำเนินไปทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์สดับปกรณ์ ทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา
ทั้งนี้ ตลอด 100 วันพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มีพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ ประจำทั้งกลางวัน กลางคืน, รับพระราชทานฉันเช้า และฉันเพล มีการประโคมย่ำยาม ในเวลา 6 นาฬิกา, 9 นาฬิกา, 12 นาฬิกา, 15 นาฬิกา, 18 นาฬิกา, และ 21 นาฬิกา ตามลำดับ ซึ่งการประโคมย่ำยาม เป็นการประโคมดนตรี มีเฉพาะของงานเครื่องสูงสำนักพระราชวัง เท่านั้น ประกอบด้วย วงแตรสังข์ และวงปี่ไฉนกลองชนะ
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์









