PM2.5 ทุก 10 มคก./ลบ.ม. ทำคนเชียงใหม่เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 1.6 %

PM2.5 ทุก 10 มคก./ลบ.ม. ทำคนเชียงใหม่เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 1.6 %

แพทย์รพ.สวนดอกเผยPM2.5 เชียงใหม่ ช่วงมี.ค.จุดพีคคนไข้เข้ารักษาผู้ป่วยนอก-ในเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว บางรายเสียชีวิตก่อนถึงไอซียู ระบุทุก ๆ 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ทำให้คนเชียงใหม่เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 1.6 %

เมื่อวันที่ 18 มี.ค. ศ.นพ.ชายชาญ โพธิรัตน์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้และทรวงอก โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ กล่าวว่า  ฝุ่น PM2.5 มีปัญหามาตั้งแต่เดือนพ.ย. เรื่อยมา จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงพีคในเดือน มี.ค. โดยเฉพาะสัปดาห์ที่ 2 พุ่งสูงมาก มีผู้ป่วยที่เจ็บป่วยเกี่ยวกับ PM 2.5 อาการปานกลาง เข้ารับบริการที่แผนกผู้ป่วยนอก เช่น ภูมิแพ้กำเริบ เลือดกำเดาไหล เป็นเลือด หลอดลมอักเสบ ไซนัสอักเสบ ริดสีดวงจมูกโตขึ้น หอบหืด หรือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังเพิ่มขึ้น

“มีผู้ป่วยมารับบริการตรวจรักษาทุกวัน เมื่อเทียบกับฤดูที่หมดฝุ่นไปแล้วจะมีมากกว่าหลายเท่าตัวต่อวัน ส่วนผู้ป่วยหนักที่ต้องนอนไอซียู หรือมาที่ห้องฉุกเฉิน ใส่เครื่องช่วยหายใจ เช่น สโตรก ปอดอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันมากขึ้นหลายเท่าตัวเช่นกัน ส่วนผู้ป่วยต้องนอนรพ. อยู่ไอซียู แต่ไม่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ พบเพิ่มขึ้นด้วยอาการปอดอักเสบ หอบหืดกำเริบ ไอเป็นเลือด ติดเชื้อในปอด และผู้ป่วยส่วนหนึ่งจะเสียชีวิตก่อนมาถึงไอซียูด้วยซ้ำ”ศ.นพ.ชายชาญกล่าว   

PM2.5ทำคนเชียงใหม่ตายเพิ่ม 1.6 %

เมื่อนำข้อมูลมาศึกษาวิเคราะห์ปีแล้วปีเล่า แยกให้ชัดเจนหรือตัดปัจจัยอื่นๆ ที่อาจจะทำให้เกิดการเจ็บป่วยในลักษณะเดียวกัน เพื่อแสดงว่า ผู้ป่วยรายนั้นเจ็บป่วยจากอย่างอื่น หรือ PM 2.5 โดยมีการตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติแล้วพบชัดเจนว่า

1. ทุก ๆ 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ของ PM 2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง จะทำให้คนเชียงใหม่เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 1.6 % ภายใน 1 สัปดาห์หลัง PM 2.5 เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเห็นว่าไม่ได้เป็นการเสียชีวิตทันที เพราะอาจจะได้รับการรักษาด้วยยาต่างๆ แต่เมื่อการอักเสบไปถึงจุดหนึ่ง จะทำให้เขาเสียชีวิตจากสโตรก เส้นเลือดสมองแตก หรือตีบ หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ปอดอักเสบ โรคปอดกำเริบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตตามมา นี่คือข้อมูลข้อเท็จจริงที่ไม่ได้แตกต่างไปจากงานวิจัยของทั่วโลก

และ2. มาห้องฉุกเฉินเพิ่มขึ้นชัดเจนจากพิษภัยที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ของทุกปี มากบ้าง น้อยบ้างตามแต่ปัญหา PM 2.5 แต่ปีที่ผ่านมาและปีนี้ถือเป็นปีที่แล้ง โดยเฉพาะเดือนมี.ค.ชัดเจนมาก มีจุดเผาในเชียงใหม่สูงขึ้นกว่ามี.ค. 2566 กว่า 40% ส่วนม.ค.-ก.พ. ที่รัฐบาลบอกว่าจุดเผาลดลง 40% นั้น ก็เป็นเพียงข้อมูลของ 2 เดือนนั้น แต่มี.ค.นี้จุดเผาเพิ่มขึ้น 40% ยังไม่นับรวมจุดเผาจากจังหวัดรายรอบ และประเทศเพื่อนบ้าน

สโตรกจากPM2.5

กลไกการเกิดสโตรกจากกฝุ่น PM 2.5 ศ.นพ.ชายชาญ กล่าวว่า PM2.5 ทำให้เกิดการอักเสบไปในเส้นเลือดฝอย เส้นเลือดขนาดเล็ก เส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ซึ่งการอักเสบเหล่านี้ทำให้เส้นเลือดปริ มีคนที่เลือดกำเดาไหล ไอเป็นเลือด ก็เพราะหลอดเลือดปริตั้งแต่จมูก ผนังหลอดลม

แล้วเส้นเลือดเหล่านี้มีไปยังอวัยะภายใน หัวใจ สมอง หากเส้นเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยงอวัยวะเหล่านี้เกิดการอักเสบ เกิดสมองขาดเลือดทำให้เส้นเลือดสมองตีบ แตก เรียกว่าสโตรก กลุ่มเปราะบางคือคนที่มีโรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง สูงวัย บางคนขาดยา หรือไม่ได้รับการรักษา ก็ป่วยได้ บางครั้งเกิดฉับเพลันทันที เสียชีวิตเฉียบพลันทันที

ศ.นพ.ชายชาญ กล่าวอีกว่า  PM2.5 เป็นฆาตรกรที่ฆ่าได้หลายรูปแบบ ฆ่าด้วยโรคหลายโรค ทำให้ภูมิแพ้กำเริบ หอบหืดกำเริบ ทำให้เส้นเลือดในสมองตีบ แตก ตัน เป็นสโตรกเสียชีวิต หรือป่วยคาไอซียูได้ PM2.5 ทำให้เส้นเลือดไปเลี้ยงหัวใจตีบ แตก ตัน ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หัวใจล้มเหลว เสียชีวิต ทำให้ภูมิต้านทานต่ำ ทำให้เนื้อปอดอักเสบ ทำให้เกิดการติดเชื้อในปอดอย่างรุนแรง แล้วทำให้โลหิตเป็นพิษ เสียชีวิตได้ แล้ว PM 2.5 ยังทำให้ไตเสื่อมเพิ่มมากขึ้น ทำให้เบาหวานควบคุมได้ยาก ระยะยาวทำให้เกิดมะเร็งปอดแม้แต่คนที่ไม่ได้สูบบุหรี่ก็เป็นมะเร็งปอดได้

จี้รัฐคุยเจ้าพ่ออุตฯเกษตร

ศ.นพ.ชายชาญ กล่าวอีกว่า ระดับนโยบาย ต้องใส่ใจให้สมเป็นวาระแห่งชาติ ต้องรู้ลึกในพื้นที่ป่าแต่ละแห่ง ซึ่งมีปัจจัยการเผาไม่เหมือนกัน ต้องการการมีส่วนร่วมจากชุมชนค่อนข้างสูง มีงบประมาณ ให้เครดิต และที่สำคัญคือการกำหนด หรือควบคุมการเผาโดยเจรจราเจ้าพ่ออุตสาหกรรมเกษตร ในการยกเลิกการนำเข้าพืชเชิงเดี่ยวที่ข้ามจากประเทศเพื่อนบ้านเข้าประเทศไทยโดยไม่เสียภาษี

ซึ่งทำให้เกิดการทำลายป่า ปลูกข้าวโพด เผาแล้วนำเข้าสู่ประเทศไทย แถม PM 2.5 ให้ด้วย  เป็นมหกรรม Smoke in the City ทั้งนี้ หากคุมได้ในช่วงนี้จะเป็นผลดีกับการท่องเที่ยวของไทย และสุขภาพของคนในประเทศรวมถึงนักท่องเที่ยวด้วย ซึ่งปัจจุบันคนที่รู้ต่างก็หนีไปเที่ยวที่อื่นหมดแล้ว รวมถึงคนที่วางแผนเกษียณในไทยก็ไม่มา