สธ.เผยไทยพบโควิด XBB แล้ว 2 ราย ย้ำประชาชนไม่ต้องตกใจ ติดเชื้อไม่รุนแรง

สธ.เผยไทยพบโควิด XBB แล้ว 2 ราย ย้ำประชาชนไม่ต้องตกใจ ติดเชื้อไม่รุนแรง

กรมวิทย์ฯเผยไทยพบสายพันธุ์ XBB 2 ราย เป็นหญิงต่างชาติ 60 ปี และหญิงไทย 49 ปี มาจากสิงคโปร์ ขณะนี้หายเป็นปกติแล้ว พร้อมเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิดลูกหลาน “โอมิครอน” คาดสายพันธุ์ XBB โอกาสหลบภูมิคุ้มกันมากสุด ย้ำประชาชนไม่ต้องตกใจ ติดเชื้อไม่รุนแรง

วันที่ 17 ต.ค.2565 ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงข่าวการเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด-19 ว่าขณะนี้ประเทศไทย พบผู้ป่วยโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย XBB  เป็นสายพันธุ์ผสมระหว่างสายพันธุ์ BJ.1 (BA.2.10.1.1) และ BM.1.1.1 (ฤ.2.75.3.1.1.1) โดยมีบรรพบุรุษร่วมกันคือ BA.2   จำนวน 2 ราย

โดยรายแรกเป็นหญิงต่างชาติอายุ 60 ปี เดินทางมาจากฮ่องกง และมาตรวจในรพ.เอกชนแห่งหนึ่ง อาการไม่มาก มีไอ ขณะป่วยอาศัยโรงแรมแห่งหนึ่ง

ส่วนรายที่ 2 เป็นคนไทยอายุ 49 ปี เดินทางมาจากสิงคโปร์ ไปรพ.เดียวกัน มีอาการไอ คัดจมูก ไม่ได้ไปไหน อยู่ในไทย มาตรวจจึงทำให้พบเชื้อ อาการไม่มากและหายเป็นปกติแล้ว

ทั้งนี้ จากการเฝ้าระวังสายพันธุ์ต่างๆ เพื่อให้ทราบข้อมูลได้ไม่ช้าเกินไป โดยช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการตรวจสายพันธุ์ 128 ตัวอย่าง ยังเป็นโอมิครอนทั้งหมด ส่วนเดลตา อัลฟา เบตา ไม่พบแล้ว โดยโอมิครอนที่พบ ส่วนใหญ่จะเป็น BA.4/BA.5 126 ตัวอย่าง ซึ่ง BA.5 พบมากที่สุด ส่วน BA.2 พบเล็กน้อยเพียง 2 ตัวอย่าง โดยสายพันธุ์ BA.2.75 ในสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่พบ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : 

สธ.ติดตามโควิด-19 "สายพันธุ์XBB" ยังไม่พบนัยความรุนแรงของโรคเพิ่มมากขึ้น

โควิด-19 สายพันธุ์ XBB ไทยเสี่ยงสูง สถานการณ์ล่าสุด ยกระดับเฝ้าระวัง

กรมวิทย์ฯ เผย ไทยยังไม่พบ "โอมิครอน" สายพันธุ์ BQ.1.1 และ XBB

โควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ BQ.1.1 - XBB สรุปพบที่ไทยแล้วหรือยัง?

 

  • เฝ้าระวังลูกหลานโอมิครอน ยังระบาดในประเทศไทย

นพ.ศุภกิจ กล่าวต่อไปว่าองค์การอนามัยโลกได้ติดตามสถานการณ์ และยังไม่พบสายพันธุ์ที่น่าห่วงกังวลเพิ่มเติม ยังเป็นโอมิครอน แต่โอมิครอนแตกลูกหลาน จึงต้องติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด ซึ่งองค์การอนามัยโลกให้ทั่วโลกเฝ้าติดตามสายพันธุ์ต่างๆ ที่แตกย่อยมาจากโอมิครอน เช่น BA.5 ก็มีลูกหลานหลายตัว ซึ่งต้องติดตามต่อไป นอกจากนี้ พวกที่มาจาก BA.2.75 ก็ยังมีการติดตามเช่นกัน รวมทั้ง BJ.1 และ BA.4.6 นอกจากนี้ ยังมีนสายพันธุ์ XBB คำว่า X คือ ลูกผสม (Recombinant) และ สายพันธุ์ BA.2.3.20

สำหรับโอมิครอน มีการกลายพันธุ์จำนวนมาก และหลายตำแหน่ง โดยเฉพาะตำแหน่งที่อยู่ตรงสไปร์ทโปรตีน อย่างไรก็ตาม หากพบกลายพันธุ์มากกว่า 6 ตำแหน่งขึ้นไป เมื่อเทียบกับของเดิมอาจเร็วกว่าเป็น 100% เศษๆ หรือหากมากกว่า 7 ตำแหน่งขึ้นไปก็จะไปเร็วกว่า 200% เมื่อเทียบกับของเดิมได้

ทั้งนี้ จากการเฝ้าระวังสถานการณ์การกลายพันธุ์ของประเทศไทยนั้น กรณีBA.2.75 จากฐานข้อมูล Gisaid มีรายงานรวม 19 ราย ส่วนอีก 11 ราย เป็นตระกูลลูกหลาน BA.2.75.1 BA.2.75.2 BA.2.75.3 และ BA.2.75.5 รวมแล้วประมาณ 30 ราย

นพ.ศุภกิจ กล่าวต่อว่า ถึงจะมีพันธุ์ใหม่  XBB แต่อย่าเพิ่งตกใจ เพราะยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า ป่วยหนัก  อย่าง ประเทศสิงคโปร์ที่พบเชื้อดังกล่าวจำนวนมาก ได้รับการยืนยันว่า จำนวนคนไข้หนักที่เพิ่มขึ้น เป็นไปตามสัดส่วนของเชื้อที่เพิ่มขึ้น หมายความว่าตัวเชื้อไม่ได้รุนแรง แต่ที่มากเพราะคนติดเชื้อเยอะขึ้น

 

  • คาดสายพันธุ์ XBB อาจหลบภูมิคุ้มกันมากสุด

ทั้งนี้ ส่วนสายพันธุ์ BF.7 เป็นสายพันธุ์ลูกหลานของ BA.5.2.1 มีความสามารถในการแพร่ระบาดน้อยกว่า XBB และ BQ.1.1 พบในจีน และแพร่ไปยังเบลเยียม เยอรมนี ฝรั่งเศส เดนมาร์ก และอังกฤษ รวมถึงพบในไทย 2 ราย เป็นชายต่างชาติอายุ 16 ปี อาศัยอยู่ในไทย อยู่ที่กรุงเทพฯ

โดยได้ส่งข้อมูลไปจีเสดตั้งแต่ก.ย. แต่ตอนนั้นเป็นสายพันธุ์กลุ่มของ BA.5 จนมีการแตกสายพันธุ์ออกมาก ส่วนอีกรายเป็นหญิงไทยอายุ 62 ปี บุคลากรทางการแพทย์ พบที่กรุงเทพฯ มีการรายงานข้อมูลช่วงเดือนก.ย.2565 โดยทั้งคู่ไม่ได้มีอาการรุนแรง ซึ่งทั่วโลกเจอเชื้อนี้ประมาณ 13,000 คน โดยพวกนี้เป็นเชื้อในตระกูลโอมิครอน คือ แพร่เร็วแต่ไม่รุนแรง

นอกจากนี้ ไทยยังเจอสายพันธุ์ BN.1 หรือ BA.2.75.5.1 จากฐานข้อมูลจีเสดทั่วโลกพบ 437 ราย โดยไทยมีรายงาน BN.1 บนจีเสดจำนวน 3 ราย พบเพิ่มเติมในไทย 7 ราย

  • ย้ำประชาชนอย่าเพิ่งตกใจ ย้ำตระกูลโอมิครอนไม่รุนแรง

นพ.ศุภกิจ กล่าวอีกว่าส่วน BQ.1.1 ยังไม่พบในไทย แต่ที่น่าสนใจคือ ตัวนี้เพิ่มจำนวนค่อนข้างเร็ว ซึ่งอาจเป็นปัญหาในอนาคตได้ โดยทั่วโลกมีรายงานพันกว่าราย สำหรับสถานการณ์ Emerging variant ที่กังวลเรื่องการหลบภูมิคุ้มกัน จะพบว่า มี XBB รองลงมา BQ.1.1 และ BN.1 จึงต้องมีการเฝ้าระวังและติดตามต่อไป

อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวด้วยว่า วันนี้สายพันธุ์ที่น่าสนใจ คือ BA.2.75.2 มี 8 ราย BN.1 มี 10 ราย BF.7 มี 2 ราย และ XBB อีก 2 ราย แต่ส่วนใหญ่คนติดเชื้อยังเป็น BA.5 พันธุ์ย่อยๆมีบ้าง

"ขอย้ำว่า ประชาชนอย่าเพิ่งตกใจ เพราะตระกูลโอมิครอน แม้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นแต่ไม่รุนแรง ซึ่งหากมีอาการก็ขอให้ตรวจหาเชื้อ จะได้ลดการแพร่เชื้อ เพราะหลักการหากลดการแพร่เชื้อ ก็ลดการกลายพันธุ์ได้ ดังนั้น มาตรการที่ใช้อยู่อย่างการสวมหน้ากากอนามัย โดยเฉพาะการไปอยู่ในที่คนจำนวนมากยังช่วยได้ และการล้างมือบ่อยๆ ก็ช่วยได้เหมือนเดิมอีกเช่นกัน รวมทั้งการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นยังเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะกลุ่ม 608 และในกรณีที่ฉีดเข็มสุดท้ายเกิน 4-6 เดือนขอให้มาฉีดกระตุ้น"นพ.ศุภกิจ กล่าว

นพ.ศุภกิจ กล่าวถึงกรณีที่มีการผ่อนคลายมาตรการมากขึ้น และมีการจัดกิจกรรม ประเพณีต่างๆ อย่าง งานสมุทรปราการ ที่มีคนร่วมงานมาก เป็นไปได้หรือไม่ที่จะทำให้มีการแพร่ระบาดเชื้อกลายพันธุ์ ว่า ยังใช้หลักการทั่วไป ที่ใดที่มีกิจกรรมมีการรวมกันของคนหมู่มาก เป็นไปได้ขอให้ตรวจ ATK ก่อนไปร่วมงาน แต่ต้องตรวจก่อนไปให้ใกล้เวลาที่จะไปร่วมงาน อย่าไปตรวจก่อนล่วงหน้า 5 วันไม่มีประโยชน์ และมาตรการใส่หน้ากากยังต้องทำ เพราะป้องกันการแพร่เชื้อได้ อย่างไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ก็ป้องกันได้ ซึ่งเราไม่ได้ห้ามจัดกิจกรรม แต่ขอให้ป้องกันตัวได้ ก็ป้องกัน

ด้าน นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรคกล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิดในไทยลดลงต่อเนื่องทั้งผู้ติดเชื้อ ป่วยหนัก เสียชีวิต โดยรอบสัปดาห์เสียชีวิต 53 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม 608 และไม่ฉีดวัคซีน ส่วนอัตราครองเตียง 4.9 % กลุ่มเสี่ยงปอดอักเสบ 2.2 พันราย ต่ำกว่าที่คาดการณ์ 2.9 พันราย อย่างไรก็ตาม เมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเรื่อยๆ ก็คาดว่าอาจจะมีผู้ป่วยนอนรพ.เพิ่มขึ้นได้ แต่การเสียชีวิตคาดว่าต่ำ เพราะการแพร่ระบาดคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล

ดร.นพ.อาชวินทร์ โรจนวิวัฒน์ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กล่าวว่า ช่วงนี้เป็นช่วงปลายฤดูฝน ต่อด้วยฤดูหนาว อาจทำให้ผู้ป่วยอาการคล้ายไข้หวัดมากขึ้น จึงแนะนำให้ตรวจ ATK เบื้องต้นก่อนพบแพทย์ เพราะช่วงนี้มีไข้หวัดอื่นๆ ด้วย

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ตรวจ RT-PCR ลดลง แต่ระบบเฝ้าระวังสายพันธุ์ไม่ได้ลดความเข้มข้นลง จึงขอความร่วมมือ รพ. ส่งตัวอย่างเชื้อ กลุ่มอาการรุนแรง หรือเสียชีวิต ผู้ที่มาจากต่างประเทศแล้วป่วย กลุ่มคลัสเตอร์ กลุ่มที่ภูมิฯ บกพร่อง กลุ่มที่รับวัคซีนเข็มสุดท้ายยังไม่เกิน 3 เดือน แต่มีอาการป่วยจากโควิด และกลุ่มบุคลากรการแพทย์ มายังศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 14 แห่งทั่วประเทศ