‘แรงงานไทย’เปราะบางทุกมิติ ปรับตัว- เพิ่มทักษะก้าวข้ามกับดัก

สถานการณ์แรงงานไทยกำลังเผชิญกับ “กับดัก” เชิงโครงสร้างหลายอย่าง ทั้งการขาดแคลนแรงงานในบางสาขา แต่อีกสาขากลับมีมากเกินไป
KEY
POINTS
- แรงงานไทยสามารถอยู่รอดและก้าวข้ามความท้าทายของตลาดแรงงานได้ ต้องขับเคลื่อนการทำงานในด้าน ‘อุปสงค์’ ของตลาดแรงงาน หรือเศรษฐกิจ
- รวมถึงต้องทำความเข้าใจว่าทำไมแรงงานบางส่วนจึงว่างงานหรือทำงานที่ไม่มีคุณลักษณะของงานที่มีคุณค่า ILO มุ่งให้ความสำคัญกับเรื่องการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ
- ตลาดแรงงานจำเป็นต้องปรับตัวทั้งในเรื่องทักษะ ชุดงานที่กำหนดอาชีพ และอาจรวมถึงรูปแบบการทำงาน เช่น รูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น
สถานการณ์แรงงานไทยกำลังเผชิญกับ “กับดัก” เชิงโครงสร้างหลายอย่าง ทั้งการขาดแคลนแรงงานในบางสาขา แต่อีกสาขากลับมีมากเกินไป วุฒิการศึกษาไม่ตรงกับงานที่ต้องการ (skill mismatch) ปัญหาอายุเฉลี่ยของแรงงานที่สูงขึ้น ภาคเกษตรที่ประสิทธิภาพต่ำ ความไม่มั่นคงในตำแหน่งงาน รวมถึงปัญหาค่าตอบแทนที่ไม่เป็นธรรม และการคุ้มครองสิทธิแรงงานที่ยังอ่อนแอ ทำให้แรงงานไทยมีความเปราะบางในทุกมิติ
ในวาระ “กรุงเทพธุรกิจ” ครบรอบ 38 ปี ได้นำเสนอประเด็นในหัวข้อ Out of the trap เพื่อนำเสนอแนวทางการก้าวข้ามกับดักแต่ละด้านของประเทศไทย ซึ่งนำไปสู่การเวทีThailand Economic Outlook 2026 “Out of The Trap” ในวันที่ 9 ต.ค.2568
ปี 2024 อัตราการเติบโตการจ้างงานในไทยได้ชะลอตัวลง ติดลบประมาณ 0.3 % ขณะที่อัตราการว่างงานโดยรวมยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 1% แต่อัตราการว่างงานของเยาวชน สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนการระบาดโควิด-19 ราว 1 % โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนที่มีการศึกษาระดับอุดมศึกษา และเยาวชนสตรี อายุ 15–24 ปี ซึ่งยังคงมีอัตราการว่างงานในระดับสูง
สำหรับผู้ที่มีงานทำยังคงมีความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงานในเศรษฐกิจนอกระบบ การชะงักของการเติบโตของค่าจ้างที่แท้จริง และสภาพการทำงานต่าง ๆ ที่ควรได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
'Longevity' สุขภาพยั่งยืนมีคุณภาพ ความมั่นคงแบบใหม่ของทุกวัย
แรงงานต้องปรับทักษะให้ตรงตลาด
“มากิโกะ มัทซึโมโต” ผู้เชี่ยวชาญการด้านการจ้างงาน องค์การแรงงานระหว่างประเทศประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (ILO) กล่าวว่าสถานการณ์ตลาดแรงงานไทยในปัจจุบันกำลังเผชิญกับปัจจัยที่ซับซ้อนหลากหลาย ซึ่งตามรายงาน Thailand Economic Monitor ของธนาคารโลก (กรกฎาคม 2025) เศรษฐกิจไทยได้รับแรงขับเคลื่อนหลักจากการส่งออกและการอัดฉีดทางการคลัง
ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศ เช่น การบริโภคและการลงทุน มีสัญญาณชะงักงัน และแนวโน้มการเติบโตในบางสาขา เช่น การท่องเที่ยวและการผลิต ยังคงได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอน ขณะเดียวกันเศรษฐกิจก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างระยะยาว เช่น มูลค่าเพิ่มภาคการผลิตที่คิดเป็นสัดส่วนของ GDP ได้ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา จากประมาณ 30% ในปี 2010 เหลือ 24% ในปี 2024 (World Development Indicators, World Bank)
“แรงงานไทยสามารถอยู่รอดและก้าวข้ามความท้าทายของตลาดแรงงานได้ ต้องขับเคลื่อนการทำงานในด้าน ‘อุปสงค์’ ของตลาดแรงงาน หรือเศรษฐกิจ และอีกด้านคือการทำความเข้าใจว่าทำไมแรงงานบางส่วนจึงว่างงานหรือทำงานที่ไม่มีคุณลักษณะของงานที่มีคุณค่า (decent work deficits) ซึ่งในประเด็นดังกล่าว ILO มุ่งให้ความสำคัญกับเรื่องการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ หรือมีทักษะที่ไม่เป็นไปตามความต้องการของตลาดแรงงาน ฉะนั้น การปรับทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานยังคงสำคัญ” มากิโกะ กล่าว
ลงทุนทักษะ -การเรียนรู้ตลอดชีวิต
มากิโกะ อธิบายต่อว่า นอกจากนั้น ต้องทำความเข้าใจ ”ปัจจัย” อื่น ๆ เช่น ความต้องการของแรงงานที่อยากทำงานในบางอาชีพ โอกาสในความก้าวหน้าทางอาชีพ และรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่นก็อาจมีความสำคัญไม่แพ้กัน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าแรงงานสามารถปรับตัวได้ ที่สำคัญ ต้องลงทุนในกรอบการเรียนรู้ตลอดชีวิต (life-long learning framework) ความรู้และทักษะด้านดิจิทัลเพื่อใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆเป็นทักษะที่ตลาดแรงงานอาจจะมีความต้องการมากขึ้นในอนาคตอันใกล้
รวมทั้ง ทักษะทางสังคม (soft skills) เช่น การสื่อสารและการคิดเชิงวิพากษ์ และทักษะด้านภาษา ชุดทักษะเหล่านี้ยังเป็นเพียงข้อเสนอแนะ และจัดทำนโยบายใด ๆ เพื่อมารองรับยังจำเป็นต้องอิงกับการวิเคราะห์ข้อมูลที่ลึกซึ้งทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ รวมถึงมีส่วนร่วมและการเจรจาทางสังคม ระหว่างภาคีทางสังคม องค์กรนายจ้างและองค์กรลูกจ้าง
กับดักเทคโนโลยีส่งผลแรงงานไทย
“ตลาดแรงงานจำเป็นต้องปรับตัวทั้งในเรื่องทักษะ ชุดงานที่กำหนดอาชีพ และอาจรวมถึงรูปแบบการทำงาน เช่น รูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น โดยความเร็วและทิศทางในการปรับตัวของตลาดแรงงานขึ้นอยู่กับความเร็วและขนาดของการลงทุนในเทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานทั้งด้านบวก คือ การเพิ่มกำลังแรงงาน มีผลผลิตที่สูงขึ้น ทำให้รายได้มากขึ้น มีงานทำมากขึ้น และด้านลบ อย่าง การแทนที่แรงงาน โดยอาจจะลดลงของโอกาสการจ้างงาน และการแบ่งขั้วของตลาดแรงงาน” มากิโกะ กล่าว
มากิโกะ กล่าวด้วยว่าการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทยล้วนกระทบต่อตลาดแรงงานเช่นเดียวกัน เพราะในตลาดงานอาจต้องจ้างแรงงานสูงวัยที่มีศักยภาพ ยังสามารถทำงานได้ ซึ่งผู้ประกอบการต้องเพิ่มทักษะให้แก่สูงวัยได้เรียนรู้ และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มผลิตผลของแรงงานให้มากขึ้น อีกทั้งเป็นการรองรับประชากรที่อยู่ในวัยพึ่งพิง ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการลงทุนที่มากขึ้นในระบบอัตโนมัติ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของเครื่อง (ML) รวมถึงเทคโนโลยีด้านการดูแล
ส่วนภาคอุตสาหกรรมก็ต้องปรับตัวร่วมด้วย ควรมีการศึกษาเชิงลึกในสองภาคธุรกิจที่สำคัญของไทย ได้แก่ ภาคการผลิตและภาคการท่องเที่ยว ซึ่งกำลังเผชิญแนวโน้มที่ไม่แน่นอนและดูเหมือนชะงักงันในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความจำเป็นในการปรับตัวของภาคธุรกิจนี้ ด้าน ภาคธุรกิจอื่น ๆ ที่มีศักยภาพในการเติบโตและการเพิ่มผลิตภาพ ซึ่งจะก่อให้เกิดโอกาสในการจ้างงานที่มีคุณค่ามากขึ้น ได้แก่ ภาคเกษตร เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจใส่ใจ เป็นต้น
ขจัดยากจนควบคู่ฝึกทักษะใหม่
มากิโกะ กล่าวอีกว่าหากเทียบแรงงานไทย กับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ ประเทศไทยดูเหมือนจะมีผลการดำเนินงานที่ดีในด้านความสามารถในการมีงานทำ ซึ่งสะท้อนผ่านตัวชี้วัดบางประการ เช่น อัตราการว่างงาน และอัตราเยาวชนที่ไม่อยู่ในระบบการศึกษา การจ้างงาน หรือการฝึกอบรม การชะลอตัวของการเติบโตการจ้างงานในปี 2024 อาจสะท้อนถึงการลดลงของโอกาสในการจ้างงานมากกว่าประเด็นเรื่องความสามารถในการมีงานทำ
“ความไม่สอดคล้องของทักษะหรือการขาดทักษะของแรงงาน อาจเป็นส่วนหนึ่งของ “กับดัก” ทางเศรษฐกิจและสังคม ถ้าแรงงานไม่มีทักษะหรือไม่ได้รับการฝึกทักษะที่จำเป็นเนื่องจากความยากจน การมีรายได้ครัวเรือนไม่เพียงพอ และข้อจำกัดทางสังคม อย่าง การเข้าถึงการศึกษา และการฝึกอบรมสำหรับประชากรบางกลุ่ม เช่น ผู้หญิงและคนพิการ ดังนั้น ควรมีมาตรการขจัดความยากจนควบคู่กับการพัฒนาทักษะหรือการฝึกทักษะใหม่ เพื่อเพิ่มโอกาสการมีงานทำของแรงงานไทย" มากิโกะ กล่าวทิ้งท้าย







