'ออกแบบอนาคตประเทศ' เปลี่ยนวิกฤต 'การศึกษา' แก้เด็กเกิดน้อย

เด็กเกิดใหม่ปี 68 ลดลงราว 400,000 กว่าคน สะท้อนสังคมไทย “เด็กเกิดน้อย แก่เยอะ” นักวิชาการ ชี้เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส มุ่งพัฒนาคุณภาพเด็ก ทบทวนขนาดห้องเรียน
KEY
POINTS
- วิกฤตเด็กเกิดใหม่น้อย กระทบระบบการศึกษา ควรเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส มุ่งพัฒนาคุณภาพเด็ก ทบทวนขนาดห้องเรียน ไม่ใช้วิธีการแก้ปัญหาเดิมๆ
- ปัญหาความล้มเหลวในการปฏิรูปการศึกษามาจากการขาดเสถียรภาพทางการเมืองและระบบราชการการ ควรปรับลดขนาดองค์กร
- ต้องผลักดันร่างพ.ร.บ.การศึกษาให้ชัดเจน ทำความเข้าใจหลักสูตรใหม่ เตรียมพร้อมทักษะสูงวัย และแรงงาน
ข้อมูลล่าสุดจากเว็บไซต์สำนักบริหารการทะเบียน ระบุว่า ในครึ่งปีแรกของ 2568 มีเด็กเกิดใหม่ 201,175 คน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2567 ที่มี 221,933 คน หรือประมาณ 9.4 % ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตในช่วงเดียวกันของปีนี้อยู่ที่ 282,582 คน ลดลงจากปีก่อนหน้าเล็กน้อย (4%) ดังนั้น ถึงการตายจะลดลง แต่การเกิดลดลงเร็วและแรงกว่ามาก
จำนวนเด็กเกิดใหม่ในปี 2568 ทั้งปี คาดการณ์ว่า อาจลดลงมาอยู่ที่ราว 400,000 กว่าคน และประชากรรวมของประเทศจะยังคงลดลงจากจำนวนการตายที่มากกว่าการเกิด ซึ่งนับเป็นปีที่ 5 ที่มีคนตายมากกว่าเกิด อัตราการเพิ่มตามธรรมชาติของประชากรติดลบสูงเป็นประวัติการณ์
ปี 2568 ไทยเผชิญวิกฤต “เกิดน้อย ตายมาก” เป็นภาพสะท้อนของระบบการศึกษา สาธารณสุข เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตที่ต้องปฏิรูปใหม่ตั้งแต่รากฐาน โดยเฉพาะการศึกษาไทย ที่ต่อให้ผ่านมาหลายทศวรรษแต่ยังคงเผชิญกับวิกฤตการณ์ที่ซับซ้อนและเรื้อรังมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์และศักยภาพในการแข่งขันของประเทศในอนาคต
ความท้าทายเหล่านี้เกิดจากหลายปัจจัย ทั้งจากโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป ปัญหาเชิงระบบของกระทรวงศึกษาธิการ ความไม่มั่นคงทางการเมือง และทัศนคติของสังคม หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง สังคมไทยจะถดถอยลง และคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถอาจมองไม่เห็นอนาคตในประเทศ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
Decoding Gen Z ถอดรหัส ‘เรียนให้ใช่’ เพื่อไม่หลุดเทรนด์
‘เกิดน้อย’ ระเบิดเวลาลูกใหญ่ คนไทยวิกฤติ ‘ตายมากกว่าเกิด’ 4 ปีซ้อน
“เด็กเกิดน้อย” เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส
ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล ประธานสาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่าภาวะเด็กเกิดน้อย เป็นอีกหนึ่งปัญหาหลักในระบบการศึกษาไทย เพราะขณะนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญกับจำนวนเด็กเกิดใหม่ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายความว่าโรงเรียนจะมีจำนวนเด็กต่อโรงเรียนน้อยลง ดังนั้น เมื่อไม่สามารถเพิ่มจำนวนเด็กเกิดใหม่ได้ ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสในการลงทุนกับทรัพยากรบุคคลรุ่นใหม่ให้คุ้มค่ามากขึ้น และพัฒนามาตรฐานคุณภาพห้องเรียนให้ดีขึ้น
“จังหวะที่เด็กน้อยลงเรื่อย ๆ อาจต้องมีการทบทวนเกี่ยวกับขนาดที่เหมาะสมของโรงเรียนและขนาดชั้นเรียน (จำนวนเด็กต่อห้อง) ซึ่งห้องเรียนที่ดีไม่ควรมีนักเรียนเกิน 30 คน แทนที่จะปล่อยให้โรงเรียนขนาดใหญ่มีนักเรียน 40 คนต่อห้อง หรือถึง 17 ห้องเรียนต่อระดับชั้น แต่นั่นเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะการที่โรงเรียนขนาดใหญ่มากเกินไปส่งผลให้ครูไม่สามารถดูแลเด็กได้อย่างใกล้ชิด”
ล้มเหลวเตรียมพร้อมการศึกษาที่ดี
ผศ.อรรถพล กล่าวต่อว่าการแก้ปัญหาโดยการยุบโรงเรียนขนาดเล็กและปล่อยให้โรงเรียนขนาดใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ อาจเป็นการแก้ปัญหาแบบเดิมๆ ที่ไม่ตอบโจทย์โลกยุคใหม่และอาจเพิ่มความเหลื่อมล้ำ ขณะเดียวกัน จำนวนเด็กเกิดใหม่น้อยลง แต่คนแก่เพิ่มมากขึ้น
ฉะนั้น ควรเตรียมความพร้อมสำหรับสังคมสูงวัยและตลาดแรงงาน โดยพัฒนาทักษะระดับสูง การศึกษาต้องออกแบบหลักสูตรและการเรียนการสอนที่พัฒนาคนให้มี ศักยภาพสูงกว่าเดิม รวมถึงควรลดการพึ่งพาแรงงานต่างชาติ เนื่องจากสังคมไทยจะหลีกเลี่ยงการพึ่งพาแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านที่เข้ามาทำงานระดับล่างไม่ได้ ดังนั้น เด็กไทยจะต้องเป็นเด็กที่มีความสามารถสูง
“ระบบการศึกษาไทย ยังล้มเหลวในการให้เตรียมพร้อมการศึกษาที่ดีพอ เด็กส่วนใหญ่ของสังคมที่ต้องออกไปเผชิญกับโลกของการทำงานยังไม่สามารถเอาตัวรอดได้ ทำให้ตลาดแรงงานยุคใหม่ที่ต้องการกำลังพลอีกแบบหนึ่งจึงไม่ได้รับการตอบสนอง และสังคมจะถดถอยลง รวมถึงการจัดการศึกษาสำหรับเด็กต่างวัฒนธรรม หรือเด็กต่างชาติ ที่พ่อแม่เข้ามาทำงานในประเทศไทยเป็นโจทย์ที่ยากขึ้นกว่าเดิม เมื่อเด็กไทยเกิดน้อยต้องเปิดรับเด็กต่างชาติมากขึ้น ควรมีการทบทวนมาตรการในการดูแลเด็กเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและเป็นธรรม ทั้งกับเด็กไทยและเด็กที่จะมาร่วมเรียนในโรงเรียน”
นอกจากนั้น ยังมีเรื่องของอคติทางสังคม แม้ว่าทางกฎหมายจะมีการแก้ไขกฎหมายคุ้มครองเด็กเพื่อให้เด็กต่างชาติที่ติดตามพ่อแม่มาต้องได้เรียนแล้ว แต่ค่านิยมและ ความเกลียดชังเพื่อนบ้าน ในสังคมไทยอาจเป็นอุปสรรคสำคัญ
ลดขนาดกระทรวงฯ ท้องถิ่นเข้มแข็ง
ผศ.อรรถพล กล่าวอีกว่าการที่เด็กเกิดน้อยลงถือเป็นโอกาสสำคัญที่การศึกษาไทยจะต้องปรับโครงสร้างและหลักสูตรเพื่อยกระดับคุณภาพ เตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต และต้องปฏิรูปโครงสร้างกระทรวง ซึ่งประเด็นนี้พูดกันมานาน ทั้งการดาวน์ไซซิ่ง (ลดขนาด) กระทรวงศึกษาธิการ และทำให้ท้องถิ่นแข็งแกร่งขึ้น
“ปัญหาความล้มเหลวในการปฏิรูปการศึกษามาจากการขาดเสถียรภาพทางการเมืองและระบบราชการการ ซึ่งการปรับลดโครงสร้างในกระทรวง หรือการลดขนาดองค์กร จะไม่เกิดขึ้นหากปล่อยให้ข้าราชการรับผิดชอบตัวเอง แต่ต้องอาศัยเสียงของสังคม ผู้แทนราษฎร และพรรคการเมือง ขณะเดียวกัน หลักสูตรใหม่ควรถูกออกแบบโดยมีเป้าหมายเพื่ออนาคตของประเทศ โดยเน้นการพัฒนาศักยภาพผู้เรียนให้สูงกว่าเดิม และตอบโจทย์สังคมสูงอายุและตลาดแรงงาน เน้นการผลิตพลเมืองที่มีความสามารถสูง”
หลายคนอาจมองว่ากระทรวงศึกษาธิการต้องแยกออกจากการเมือง ซึ่งในความเป็นจริงควรเป็นแบบนั้น แต่หากทำไม่ได้จะต้องปรับโดยอาศัยความมุ่งมั่นทางการเมืองร่วมกัน และใช้ความรู้จากงานวิจัย ประสบการณ์ต่างประเทศ และความรู้ภายในองค์กรที่เกี่ยวข้องมาขับเคลื่อนนโยบาย แทนที่จะใช้เพียงประสบการณ์เดิม ๆ หรือวิธีการแก้ปัญหาแบบเดิม
ดันพ.ร.บ.การศึกษา หลักสูตรฉบับใหม่
ผศ.อรรถพล กล่าวด้วยว่าการศึกษาไม่สามารถเดินหน้าด้วยนโยบายระยะสั้นได้ และที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าขาดความมุ่งมั่นทางการเมืองในการร่วมกันแก้ปัญหาการศึกษา อยากให้รมว.ศธ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งผลักดัน ร่าง พ.ร.บ. การศึกษา ที่ค้างคามานานมาก และกำหนดทิศทางที่ชัดเจนสำหรับหลักสูตรฉบับใหม่ ที่ถูกประกาศใช้ไปโดยที่ไม่มีความชัดเจนและสังคมไม่ได้รับรู้
นอกจากนั้น การแก้ปัญหาหนี้สินครูต้องจัดการกับ หนี้ครูและความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจของครู เพราะนี่มีผลกระทบต่อคุณภาพการจัดการเรียนการสอน และควรใช้ความรู้ งานวิจัยขับเคลื่อนนโยบาย มากกว่าการใช้ประสบการณ์เดิมๆ
“ใน 1 ปี รมว.ศธ.เปลี่ยนไปแล้ว 3 คน และเมื่อนักการเมืองมาแล้วก็ไป ทำให้ข้าราชการเรียนรู้ที่จะ อยู่เฉย ๆ และไม่เคลื่อนไหว ซึ่งเป็นมายเซ็ทที่ไม่ดี ข้าราชการจึงต้องถูกผลักดันให้รับผิดชอบและทำงานอย่างต่อเนื่อง แม้ในยามที่ไม่มีรัฐมนตรี และรมว.ศธ.ควรมีประสบการณ์ในการทำงานด้านการศึกษาเป็นเรื่องดีที่สุด แต่ถ้าไม่ได้ก็ต้องมีทีมที่ปรึกษาที่ดีและเข้าใจปัญหาจริง ๆ ที่สำคัญต้องพร้อมใช้ความรู้ขับเคลื่อนการแก้ปัญหาไม่เป็นเพียงการเคาะตามที่ข้าราชการเสนอ”
อย่างไรก็ตาม กระทรวงต้องไม่แสดงความเป็นเจ้าของ แต่ต้องพยายามให้ สังคมได้เข้ามามีส่วนร่วม ส่วนประชาชนและผู้ปกครอง ต้อง ไม่หยุดในการเคลื่อนไหว และใช้ทุกช่องทางในการส่งเสียง (Voice) เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูป ต้องผลักดันให้การศึกษาเป็นวาระทางสังคมและมีพื้นที่ให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม







