‘ลดเหลื่อมล้ำทางการศึกษา’ ดึงเด็กนอกระบบกลับสู่โอกาส

‘ลดเหลื่อมล้ำทางการศึกษา’ ดึงเด็กนอกระบบกลับสู่โอกาส

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติโครงสร้างประชากร “เด็กเกิดใหม่น้อย วัยทำงานลดลง ขณะที่ผู้สูงอายุกลับมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

KEY

POINTS

  • คุณภาพและทักษะของคนเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศ แต่กลับเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ประเทศไม่สามารถขับเคลื่อนได้
  • กสศ.ได้มีการทดลองการศึกษาที่ยืดหยุ่น ด้วยหลักสูตรยืดหยุ่น โดยปรับรูปแบบการเรียนรู้ให้เข้ากับเด็กแต่ละคน
  • การศึกษาต้องพยายามดึงกลุ่มผู้ที่ไม่ได้อยู่ในการจ้างงาน การศึกษา หรือการฝึกอบรมให้กลับเข้าสู่ระบบ เพื่อใช้ศักยภาพของคนกลุ่มนี้ในการพัฒนาประเทศ

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติโครงสร้างประชากร เด็กเกิดใหม่น้อย วัยทำงานลดลง ขณะที่ผู้สูงอายุกลับมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง” ทว่าในจำนวนเด็กที่ต้องอยู่ในระบบการศึกษา พบว่า มีเด็กและเยาวชนมากกว่า 880,000 คน อยู่นอกระบบ เข้าไม่ถึงการศึกษา

ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา” เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศไทยออกจากกับดักรายได้ปานกลาง และเป็นปัญหาฝังรากลึกในสังคมมาหลายทศวรรษ แม้จะมีการปฏิรูปการศึกษา ปรับหลักสูตร การเรียนการสอน พัฒนาครู นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการเรียนการสอน และมีเจ้ากระทรวง อย่าง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) มาแล้วกว่า 60 คน โดยใน 1 ปี 2568 มีรมว.ศธ.เปลี่ยนไปแล้ว 3 คน

ในวาระ “กรุงเทพธุรกิจ” ครบรอบ 38 ปี ได้นำเสนอประเด็นในหัวข้อ Out of the trap เพื่อนำเสนอแนวทางการก้าวข้ามกับดักแต่ละด้านของประเทศไทย ซึ่งนำไปสู่การเวที Thailand Economic Outlook 2026 “Out of The Trap” ในวันที่ 9 ต.ค.2568

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

'Longevity' สุขภาพยั่งยืนมีคุณภาพ ความมั่นคงแบบใหม่ของทุกวัย

Decoding Gen Z ถอดรหัส ‘เรียนให้ใช่’ เพื่อไม่หลุดเทรนด์

ปัจจัยเด็กไทยเข้าไม่ถึงการศึกษา

ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ซึ่งได้เข้ามามีบทบาทในภาคการศึกษา ดำรงตำแหน่งประธาน กสศ.เข้าสู่สมัยที่ 2 เป็นระยะเวลา 7 ปี ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ถึงแนวทางในการก้าวพ้นกับดักความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาว่า คุณภาพและทักษะของคนเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศ แต่กลับเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ประเทศไม่สามารถขับเคลื่อนได้ เนื่องจากกับดักความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ซึ่งกสศ. มีบทบาทในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้น

“กสศ.เริ่มต้นจากสมมติฐานว่าความยากจนเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เด็กและเยาวชนเข้าไม่ถึงการศึกษา จึงสร้างฐานข้อมูลระบุตัวเด็กยากจนและยากจนพิเศษ ประมาณ 1.2 ล้านคนจาก 2 ล้านคน เพื่อจัดสรรเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ค่าเล่าเรียน เช่น ค่าเดินทาง อาหารเช้า อุปกรณ์กีฬา ประมาณ 4,000 บาทต่อคนต่อปี อีกทั้งเศรษฐกิจ และปัจจัยอื่นๆ อย่าง สภาพครอบครัวแหว่งกลาง, ทัศนคติผู้ปกครอง, สุขภาพ และการมองเห็นประโยชน์ของการศึกษา”ดร.ประสาร กล่าว

‘ลดเหลื่อมล้ำทางการศึกษา’ ดึงเด็กนอกระบบกลับสู่โอกาส

การศึกษายืดหยุ่นช่วยเด็กนอกระบบ

ประธานกสศ. กล่าวต่อว่า จากการช่วยเหลือเด็กนอกระบบ ทำให้ทราบว่าเด็กนอกระบบจำนวนมากกว่า 800,000 คนนั้น สาเหตุที่ไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่ได้มาจากเหตุผลทางเศรษฐกิจเพียงอย่าง แต่เป็นเพราะไม่เห็นประโยชน์ของการเรียนในโรงเรียน ไม่ชอบระบบ หรือมีปัญหากับครู และบางคนก็ต้องช่วยเหลือที่บ้านทำงาน ดังนั้น กสศ.ได้มีการทดลองการศึกษาที่ยืดหยุ่น ด้วยหลักสูตรยืดหยุ่น โดยปรับรูปแบบการเรียนรู้ให้เข้ากับเด็กแต่ละคน เช่น สอนคณิตศาสตร์ที่คอกม้าสำหรับเด็กที่เลี้ยงม้า และใช้เทคโนโลยีการเรียนทางไกล เป็นต้น

นอกจากนั้น มีการพัฒนาครูผ่าน โครงการ “ครูรักษ์ถิ่น” เพื่อผลิตครูที่เหมาะสมกับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล และมีการส่งเสริมการสอนที่เน้นทักษะ การนำไปใช้ประกอบอาชีพได้จริง โดยเฉพาะเด็กที่จบ ม.3 เพื่อให้มีรายได้

ต้นตอความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

ประธานกองทุน กสศ. กล่าวอีกว่า ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษานั้น เกิดจากทั้งบทบาทของภาครัฐ ในการจัดสรรทุนที่ไม่ทั่วถึง โรงเรียนขนาดเล็กและห่างไกลยังขาดครู และเครื่องมือทางการศึกษา รวมถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจ ความยากจนและรายได้ที่ไม่เท่าเทียม ซึ่งความยากจนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กและเยาวชนเข้าไม่ถึงการศึกษา ขณะเดียวกัน การดูแลเด็กเล็กและครอบครัวยังครอบคลุมไม่เพียงพอ

“ความไม่ต่อเนื่องของนโยบาย อย่าง การเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการบ่อย หรือการที่ ผู้วางนโยบายมักจะมองหา “quick win” หรือผลลัพธ์ในระยะสั้น ซึ่งอาจทำให้เสียทรัพยากรไปโดยเปล่าประโยชน์หากไม่เกื้อหนุนเป้าหมายระยะยาว ,ภาวะผู้นำในระบบราชการ เพราะต้องยอมรับว่าเมื่อการเมืองเปลี่ยนแปลงบ่อย ทำให้ข้าราชการประจำมักจะกังวลว่านายจะว่าอย่างไร มากกว่าริเริ่มทำสิ่งที่ถูกต้องหรือทำเรื่องต่อเนื่อง และการบูรณาการที่อ่อนแอ การขับเคลื่อนนโยบายต้องอาศัยการบูรณาการของหลายภาคส่วน แต่การสมานพลังเหล่านี้ยังทำได้ไม่ดีพอ” ดร.ประสาร กล่าว

ทั้งนี้ ในส่วนภาคประชาชนมีความตื่นตัว และทำงานดี แต่จำกัดในเรื่องขนาดเล็ก ทำกันไม่กี่คน และยังขาดทักษะ ทรัพยากรในการขยายผลให้เป็นระดับนโยบาย ขณะที่ภาคธุรกิจเอกชน เริ่มเห็นความสำคัญการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษามากขึ้น แต่โดยธรรมชาติจะเน้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยตรง และมีสมาธิกับงานหลักของตนเองมากกว่าผลระยะยาวหรือทางอ้อม

หลักสูตรยืดหยุ่น สอนคิดมากกว่าท่องจำ

ดร.ประสาร กล่าวด้วยว่า การลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา จะต้องแบ่งกลุ่มเป้าหมายออกเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มของเด็กที่อยู่ในระบบการศึกษา ซึ่งมีประมาณ 8-10 ล้านคน ภาครัฐควรจะจัดสรรเงินอุดหนุนโดยคำนึงถึงความเหลื่อมล้ำไม่ใช่ให้เท่ากันทุกคน และควรจะให้ความสำคัญกับการดูแลเด็กเล็กตั้งแต่ปฐมวัย

สำหรับเด็กนักเรียนที่มาจากครอบครัวยากจน อาจจะไม่ต้องพยายามผลักดันให้เขาเรียนหลักสูตรยากๆ แต่ให้เขาได้เรียนในสิ่งที่เขาอยากเรียน หรือต่อยอดอาชีพได้ ควรมีหลักสูตรอาชีวะชั้นสูงระยะสั้น เช่น ผู้ช่วยทันตแพทย์, ผู้ช่วยพยาบาล, ทักษะด้านเทคโนโลยี เพื่อให้มีทักษะพร้อมทำงานได้เร็ว

“ระบบการศึกษาต้องพยายามดึงกลุ่มผู้ที่ไม่ได้อยู่ในการจ้างงาน การศึกษา หรือการฝึกอบรมให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาหรือการฝึกอบรม เพื่อใช้ศักยภาพของคนกลุ่มนี้ในการพัฒนาประเทศ ส่วนผู้ที่อยู่นอกระบบต้องมีการศึกษาแบบยืดหยุ่น (Flexible Education) มีระบบสะสมหน่วยกิต (credit bank) สร้างครูพันธุ์ใหม่ที่สามารถสอนนอกห้องเรียน นอกเหนือจากหลักสูตรปกติ ที่สำคัญการศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบต้องมีมาตรฐานและสามารถวัดผลได้จริง”

ขณะที่ เทคโนโลยี โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เข้ามามีบทบาทในระบบการศึกษาอย่างมาก ซึ่งเป็นทั้งตัวเพิ่มและลดความเหลื่อมล้ำ โดยขึ้นอยู่กับการใช้งานและความเข้าใจ หากกระทรวงศึกษาธิการ สถานศึกษา ผู้อำนวยการ ครูผู้สอน นำ AI มาแทนที่การสอนแบบท่องจำ AI จะสามารถทำได้ดี แต่หากนำมาเป็นผู้ช่วยสอน ในการจดจำและเรียกคืนข้อมูลเสริมครูที่สอนเรื่องทักษะ เน้นสอนคิดมากกว่าท่องจำ ก็จะช่วยสร้าง พัฒนาเด็กให้มีทักษะติดวิเคราะห์ แก้ปัญหา ก้าวออกจากกับดักความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้น