‘เกิดน้อย’ ระเบิดเวลาลูกใหญ่ คนไทยวิกฤติ ‘ตายมากกว่าเกิด’ 4 ปีซ้อน

ไทยเผชิญประชากร “ตายมากกว่าเกิด” 4 ปีต่อเนื่อง คาดปี 2626 ประชากรเหลือ 33 ล้านคน ขาดแรงงาน ผลิตผลประเทศลด รายได้ภาษีหดตัว
KEY
POINTS
- ไทยเผชิญประชากร “ตายมากกว่าเกิด” 4 ปีต่อเนื่อง คาดปี 2626 ประชากรเหลือ 33 ล้านคน ขาดแรงงาน ผลิตผลประเทศลด รายได้ภาษีหดตัว
- สธ.ชงร่างวาระแห่งชาติ แต่ยังค้างเติ่ง เป้าปี 70 เพิ่มอัตราการเจริญพันธุ์ สช.ชี้แก้ปัญหาเกิดน้อยต้องใช้เวลา 20 ปี
- พม.ดันนโยบาย “5x5 ฝ่าวิกฤติประชากร” ห่วงวัยทำงาน 2 คน แบกรับผู้สูงอายุ 1 คน ธนาคารโลกจับตาอัตราส่วนพึ่งพิงเพิ่มขึ้น
ประเทศไทยเผชิญวิกฤติโครงสร้างประชากรโดยมีอัตราการเกิดต่ำ เสียชีวิตสูง ข้อมูลจากสถิติสาธารณสุขปี 2567 เด็กเกิดใหม่เพียง 462,240 คน และตั้งแต่ปี 2564 ไทยเข้าสู่สถานการณ์มีอัตราการเกิดน้อยกว่าอัตราการตาย
ทั้งนี้ เมื่อเทียบช่วงปี 2506-2526 ไทยมีเด็กเกิดใหม่มากกว่า 1 ล้านคนต่อปี และสูงสุดถึง 1.2 ล้านคนในปี 2514 ปรากฏการณ์นี้สะท้อนทัศนคติใหม่ของคนรุ่นปัจจุบันที่ชะลอหรือไม่ต้องการมีบุตรจากหลายปัจจัย
สำหรับอัตราเจริญพันธุ์รวม (Total Fertility Rate-TFR) ซึ่งหมายถึง จำนวนลูกเฉลี่ยที่ผู้หญิงไทยคนหนึ่งจะมีตลอดช่วงวัยเจริญพันธุ์ อยู่ที่ 1.0 ต่ำกว่าระดับทดแทนประชากรที่ 2.1 ส่วนเสียชีวิต 571,646 คน โดยจำนวนการเกิดยังน้อยกว่าการตายติดต่อกันเป็นปีที่ 4 นับตั้งแต่ปี 2564
ขณะเดียวกัน มีจำนวนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเกิน 20% ของประชากรกลายเป็น “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” ภายในปี 2576 หรืออีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า ไทยจะมีประชากรผู้สูงอายุถึง 28% หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด จึงคาดการณ์อีก 60 ปี จำนวนประชากรจะเหลือเพียง 33 ล้านคน ซึ่งกระทบมากทั้งมิติสังคม เศรษฐกิจและความมั่นคง โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเด็กเกิดน้อยประกอบด้วย
1.ขาดแคลนแรงงาน ซึ่งปี 2566 จำนวนประชากรเข้าสู่วัยแรงงาน อายุ 20-24 ปี ไม่สามารถชดเชยจำนวนประชากรที่ออกจากวัยแรงงานอายุ 60-64 ปีได้ ส่งผลให้ผลิตผลของประเทศลดลง รายได้จากการจัดเก็บภาษีลดลง และพึ่งพาแรงงานข้ามชาติมากขึ้น
2.อัตราส่วนพึ่งพิงวัยสูงอายุต่อวัยแรงงานเพิ่มขึ้นจากปี 2543 วัยแรงงาน 7.1 คน ต่อผู้สูงอายุ 1 คน ปี 2563 วัยแรงงาน 3.6 คนต่อผู้สูงอายุ 1 คน เป็นวัยแรงงาน 1.8 คนต่อผู้สูงอายุ 1 คนในปี 2583
ทั้งนี้จะทำให้ความเครียดวัยแรงงานเพิ่มขึ้น รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย และไม่ต้องการมีลูก 3.ครอบครัวเดี่ยว ที่ไร้บุตรหลาน จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ในปี 2549 อยู่ที่ 26.1 % เป็น 37.4 % ในปี 2561 ทำให้ผู้สูงอายุขาดคนดูแลอยู่ตามลำพังกระทบสุขภาพกายและจิต
รวมทั้งคาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์อนาคต และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากโครงสร้างประชากรเปลี่ยน ปี 2566-2626 โดยประชากรลดลงจาก 66 ล้าน เหลือเพียง 33 ล้านคนวัยสูงอายุ 65 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้นจาก 8 ล้านคนเป็น 18 ล้านคน
ส่วนภาวะพึ่งพิงวัยสูงอายุเพิ่มขึ้น, งบประมาณด้านสุขภาพสูงขึ้น, วัยทำงานอายุ 15-64 ปี ลดจาก 46 ล้านคน เหลือ 14 ล้านคน ทำให้จำนวนแรงงานลดลง , ผลผลิตรวมของประเทศลดลง , ภาษีที่จัดเก็บได้ลดลง และวัยเด็กอายุ 0-14 ปี ลดจาก 10 ล้านคน เหลือ 1 ล้านคน
แผนวาระแห่งชาติยังค้างเติ่ง
สำหรับการแก้ปัญหาเรื่องเด็กเกิดน้อย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มีแนวทางเสนอเรื่อง “ส่งเสริมการมีบุตรอย่างมีคุณภาพ” เป็นวาระแห่งชาติ โดยผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติมาแล้ว 3 ครั้ง แต่ยังไม่เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.)
(ร่าง) วาระแห่งชาติ ส่งเสริมการมีบุตรอย่างมีคุณภาพ กำหนดเป้าหมายอัตราการเจริญพันธุ์รวมภายในปี 2570 อยู่ที่ไม่น้อยกว่า 1 และภายในปี 2585 ไม่น้อยกว่า 1.0-1.5 โดยมาตรการสำคัญใน (ร่าง) วาระแห่งชาติ ประกอบด้วย
1.ปรับสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการมีบุตร ด้วยการแก้ไข ปรับปรุง กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ,Family Friendly Workplace ,ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการดูแล และเลี้ยงบุตร ,สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยอายุ 0-2 ปี
2.เสริมสร้างความรู้ และปรับเปลี่ยนทัศนคติ ให้เห็นว่าทุกการเกิดมีความสำคัญ รวมถึง บทบาทชายหญิง ความรู้ และทัศนคติต่อการสร้างครอบครัวที่มีรูปแบบหลากหลาย
3.ผู้ตัดสินใจมีบุตรได้รับการดูแลอย่างครบวงจร และมีคุณภาพ เช่น การรักษาภาวะมีบุตรยาก ,การเจริญเติบโต และพัฒนาการและการให้คำปรึกษาทางเลือกกรณีท้องไม่พร้อม โดยมีคณะกรรมการอำนวยการส่งเสริมการมีบุตรอย่างมีคุณภาพเพื่อพัฒนาประชากร และทุนมนุษย์ มีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายเป็นประธาน
แผนเกิดน้อยมีคุณภาพ
นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ให้สัมภาษณ์ ว่า การส่งเสริมให้คนมีลูกยากมากเพราะคนรุ่นใหม่มองการมีลูก 1 คน เป็นภาระใหญ่มากทั้งค่าใช้จ่าย การเลี้ยงดู ความปลอดภัย และสภาพสังคม
สมัชชาสุขภาพแห่งชาติปี 2566 มีมติหัวข้อ “ส่งเสริมให้ประชากรเกิด และเติบโตอย่างมีคุณภาพ” เป็นการหันมาเน้นคุณภาพ ถ้าประชากรน้อยลง แต่ทุกคนมีคุณภาพสูง มีศักยภาพเต็มที่ ผลิตภาพ (Productivity) ประเทศอาจไม่ลดลง ยิ่งยุคเทคโนโลยี AI หรือมีเครื่องจักรเข้ามาช่วย เช่น กรณีในอดีตเกษตรกร 1 คนปลูกข้าวได้ไม่กี่ถัง แต่ด้วยเทคโนโลยีใหม่จะทำได้มากขึ้นหลายเท่าตัว
ดังนั้น การลงทุนให้คนไทยเติบโตมีคุณภาพเป็นสิ่งที่ควรทำมากสุด เน้นพัฒนาเด็กให้เกิด และเติบโตเป็นทุนมนุษย์ที่มีคุณภาพ เป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศภายใต้แนวคิด “Happy Child-Happy Family-Happy Community” ครอบคลุม 4 ด้าน คือ
1.การสร้างแรงขับเคลื่อนทางสังคมครั้งใหญ่ ให้เห็นถึงความสำคัญของการยกระดับการพัฒนาให้เด็กเกิด และเติบโตอย่างมีคุณภาพ 2.การมีนโยบายที่เป็นมิตรกับครอบครัวที่เอื้อต่อการมี และดูแลบุตร
3.การใช้แนวคิดชุมชนเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย และเอื้อต่อกระบวนการเรียนรู้ในการเลี้ยงดู และพัฒนาเด็ก 4.การพัฒนาระบบสนับสนุนเพื่อเป็นฐานในการวางนโยบายที่มีประสิทธิภาพในระยะต่อไป ซึ่ง ครม.มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตั้งแต่ 27 ธ.ค.2567
“ปัญหาเชิงโครงสร้างประชากรแบบนี้ ไม่สามารถแก้ไขได้ระยะเวลาสั้นๆ การวางแผนรับมือต้องใช้เวลาเป็น 20 ปี ถ้าไม่ทำอะไรจริงจังตั้งแต่วันนี้ กล้าพูดเลยว่ามันอาจจะถึงขั้นสิ้นชาติ ได้จริง ๆ เพราะทั้งปริมาณคนลดลง คุณภาพไม่ได้ น่าเป็นห่วงมาก ต้องส่งเสริมให้เด็กเกิดใหม่อย่างมีคุณภาพ” นพ.สุเทพ กล่าว
นโยบาย “5x5 ฝ่าวิกฤติประชากร”
รายงานข่าวจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ระบุว่า สถานการณ์วิกฤติซ้อนวิกฤติของไทยที่เจอทั้งสังคมสูงอายุ และภาวะเด็กเกิดใหม่น้อยลง โดยประเมินผลกระทบเศรษฐกิจ และความมั่นคง ดังนี้
1.การขาดแคลนแรงงาน ที่จะทำให้แรงงานในประเทศจะหายไป 2.ภาระทางสวัสดิการ ที่กลุ่มคนในวัยทำงานต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่าย และสวัสดิการของผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น 3.เศรษฐกิจชะงักงัน เมื่อประชากรลดลงทั้งอุปสงค์ และอุปทาน ก็จะลดลงตามไปด้วย ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศจะไม่ก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางไปได้
4.ความมั่นคงทางการเงินภาครัฐ เมื่อคนทำงานน้อยลง ภาษีที่รัฐจะจัดเก็บได้ก็จะน้อยลงตามไปด้วยเป็นเงาตามตัว 5.ความเปราะบางของสังคม นำไปสู่การล่มสลายของประชากร (Population Collapse) ครอบครัวจะมีความเปราะบาง ระบบสวัสดิการสังคมจะแบกรับไม่ไหว และอนาคตของทุกคนจะเต็มไปด้วยความไม่มั่นคง
ทั้งนี้ เพื่อหาทางรอดจากวิกฤติซ้อนวิกฤตินี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ จัดทำนโยบาย “5x5” ที่ผ่าน ครม.แล้วประกอบด้วย
1.เสริมพลังของคนไปทำงาน สร้างเสริมศักยภาพให้กับกลุ่มวัยทำงาน 2.ดูแลเด็กเล็ก ทำอย่างไรให้เด็กที่มีน้อยแล้วมีคุณภาพมากขึ้น 3.ดูแลผู้สูงอายุ ให้ผู้สูงอายุกลับเข้ามามีส่วนร่วม และมีผลิตภาพ (active/productivity) ใหม่ในสังคม
4.เสริมพลังคนพิการ ให้คนพิการกลับมาเป็นผลิตภาพของสังคม 5.สร้างสังคมที่น่าอยู่ (Ecology) เพื่อจูงใจให้คนรุ่นใหม่นั้นมีครอบครัวและมีบุตร
วัยทำงาน 2 คน แบกรับผู้สูงอายุ 1 คน
นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2567 ไทยเข้า “สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ” โดยประชากรสูงอายุคิดเป็น 20.69% ของประชากรทั้งหมด ทำให้ไทยติดอันดับ 17 ของโลกในประเทศที่มีประชากรสูงวัยมากที่สุด
“สถิติปี 2567 แสดงให้เห็นประชากรวัยทำงาน 3 คน แบกรับภาระการดูแลผู้สูงอายุ 1 คน การคาดการณ์ระยะยาวชี้ให้เห็นว่าภายในปี 2587 อัตราส่วนนี้จะเปลี่ยนแปลงไปในทางเลวร้ายลง โดยคนวัยทำงานเพียง 2 คน จะรับภาระดูแลผู้สูงอายุ 1 คน เป็นเรื่องน่ากังวลยิ่ง”
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรนำมาซึ่งปัญหาหลายด้าน ได้แก่ ภาระงบประมาณของรัฐที่เพิ่มขึ้นในการดูแลผู้สูงอายุ ความท้าทายของสถาบันครอบครัวจากปรากฏการณ์ครอบครัวแหว่งกลาง และผู้สูงอายุอยู่คนเดียว รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบอาชญากรรมค้ามนุษย์ที่หันไปใช้เทคโนโลยีออนไลน์
ธนาคารโลก (World Bank) ระบุว่า อัตราส่วนการพึ่งพิงรวมของไทยล่าสุดปี 2024 อยู่ที่ 43.09% เพิ่มขึ้นจาก 42.47% ในปี 2023 เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของโลกที่อยู่ที่ 58.13% (จากข้อมูลของ 196 ประเทศ)
ในเชิงประวัติศาสตร์ ค่าเฉลี่ยของประเทศไทยระหว่างปี 1960-2024 อยู่ที่ 59.69% โดยค่าต่ำสุดที่ 39.49% เกิดขึ้นในปี 2013 ขณะที่ค่าสูงสุดที่ 93.01% ถูกบันทึกไว้ในปี 1966 หากอัตราส่วนการพึ่งพิงสูงขึ้น หมายความว่าประชากรวัยทำงาน และเศรษฐกิจโดยรวมต้องเผชิญภาระที่มากขึ้นในการดูแลประชากรวัยพึ่งพิง
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







