ฝ่ามรสุมทุนจีนฮุบ 'ม.เอกชน' วิกฤต-โอกาส อุดมศึกษาฯไทย

ฝ่ามรสุมทุนจีนฮุบ 'ม.เอกชน' วิกฤต-โอกาส อุดมศึกษาฯไทย

การพูดถึง “การศึกษา หรือธุรกิจการศึกษา” ในปัจจุบัน มักจะไม่ได้มองเพียงตัวเด็กและเยาวชนอย่างเดียว แต่ต้องมองไปถึงระบบนิเวศของการศึกษาทั้งหมด

KEY

POINTS

  • การเข้ามาของทุนจีนในธุรกิจการศึกษา เป็นการเข้ามาซื้อหุ้นในบริษัท อาจจะซื้อมากกว่ากึ่งหนึ่งหรือเทกโอเวอร์แบบ 100% แล้วหาผู้บริหารที่มีสัญชาติไทยเข้ามาร่วมเป็นกรรมการบริษัทหรือใช้ผู้บริหาร
  • ปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนจีนต้องการเทกโอเวอร์มหาวิทยาลัยในไทย ได้แก่ส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลาง เน้นเจาะกลุ่มนักศึกษาจีนให้เข้ามาเรียนในไทย และค่าเรียนในจีนแพง
  • มหาวิทยาลัยที่มีทุนจีนถือหุ้นยังคงต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่กำหนดโดย อว. เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยไทยทั่วไป ซึ่งไม่มีการสนับสนุนพิเศษเพิ่มเติม

การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากร  ย่อมส่งผลต่อระบบการศึกษาของไทย เพราะด้วยจำนวนเด็กไทยที่ลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง จากสถิติพบว่า ปี 2567 มีเด็กไทยเกิดใหม่เพียง 461,421 คน ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปี ที่ประเทศไทยมีจำนวนเด็กเกิดไม่ถึง 5 แสนคนต่อปี  และมีการคาดว่าอีก 50 ปี ข้างหน้าจะเหลือคนทำงาน 22 ล้านคน

สอดคล้องกับข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ภาพรวมจำนวนนักเรียนในไทยลดลง 1.1% แต่นักเรียนนานาชาติกลับเพิ่ม 8.3% (ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย) เนื่องจากแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องตามสถิติการเกิด ทำให้รายได้ธุรกิจปี 2568

รายได้ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติโต 9.7% ชะลอลงจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัว 13.1% ส่งผลให้นักศึกษาต่างชาติ กลายเป็นความหวังให้หลายสถาบันอุดมศึกษาสามารถเปิดดำเนินการต่อไปได้ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเอกชนที่เสี่ยงจะต้องยุบกิจการจากการขาดแคลนนักศึกษาอย่างต่อเนื่อง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

ทุนจีนมาแรง! ธุรกิจจะอยู่ร่วมกับทุนจีนอย่างไรให้ 'ยั่งยืน' ?

‘ทุนจีน’ ทะลักไม่หยุด SME ไทยส่อตายเรียบ

นักศึกษาจีนในอุดมศึกษาไทย

กลุ่มนักศึกษาหลากหลายเชื้อชาติที่มาเรียนไทย “นักศึกษาจีน”เป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดและมีการกระจายตัวไปศึกษาตามสถาบันต่างๆ ทั่วประเทศ เกือบทุกมหาวิทยาลัยปรับตัวด้วยการยุบคณะที่คนเรียนน้อย แล้วหันมาเปิดหลักสูตรสำหรับนักศึกษาจีนที่สอนด้วยภาษาจีน หวังดึงดูดนักศึกษาจีนให้เข้ามาเรียนมากขึ้น มีการแย้งชิงนักศึกษาจีนมาเรียนมากขึ้น

เมื่อพิจารณาจากจำนวนนักศึกษาจีนในประเทศไทย (ข้อมูลจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม(อว.)) เปิดเผยถึงจำนวนของนักศึกษาจีนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 พบว่ามหาวิทยาลัยที่ถูกเทกโอเวอร์โดยทุนจีนเป็นกลุ่มมหาวิทยาลัยที่มีสัดส่วนนักศึกษาจีนมากเมื่อเทียบกับจำนวนนักศึกษาทั้งหมด ได้แก่  

  • มหาวิทยาลัยเกริก มีจำนวน 4,670 คน และเป็นจำนวนมากถึง 71% ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด
  • มหาวิทยาลัยชินวัตร 863 คน คิดเป็น 79% ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด 
  • มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ดมีนักศึกษาจีน 1,101 คน คิดเป็น 27% ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด

ขณะที่มหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่มีสัดส่วนของนักศึกษาจีนมาก ได้แก่

  • มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ 2,389 คน คิดเป็น 16% ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด
  • มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี 2,160 คน คิดเป็น 10.68% ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด
  • มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ 1,736 คน คิดเป็น 20% ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด
  • มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 1,165 คน คิดเป็น 2.97% ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด
  • มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา 1,127 คน คิดเป็น 2.02% ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด

เช็กมหาวิทยาลัยที่มีนักศึกษาจีนจำนวนมาก

  • มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 1,101 คน คิดเป็น 2.04% ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด
  • มหาวิทยาลัยมหิดล 761 คน คิดเป็น 2.35% ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด
  • มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต 643 คน คิดเป็น 9.25%ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด
  • มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ 635คน คิดเป็น 5.64%ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด
  • มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 578 คน คิดเป็น 1.89%ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด 
  • จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 468 คน คิดเป็น 1.13%ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด
  • มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ 466 คน คิดเป็น 6.83%ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด
  • มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 434คน คิดเป็น 2.37%ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด
  • มหาวิทยาลัยบูรพา 406 คน คิดเป็น 1.43%ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด
  • มหาวิทยาลัยพายัพ 400 คน คิดเป็น 15.05 %ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด,
  • มหาวิทยาลัยขอนแก่น 372 คน คิดเป็น 0.98%ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด
  • มหาวิทยาลัยสยาม 353 คน คิดเป็น 3.49%ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด
  • อื่นๆ 6,379 คน คิดเป็น 0.42%ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด

ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยที่มีจำนวนนักศึกษาจีนส่วนใหญ่เป็นมหาวิทยาลัยที่อยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล  ส่วนมหาวิทยาลัยที่อยู่ในจังหวัดอื่นๆ ก็มีนักศึกษาจีนบ้าง แต่เป็นเพียงมหาวิทยาลัยในจังหวัดที่อยู่ไม่ไกลจากชายแดนประเทศไทย เช่นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยพายัพ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และเกือบทั้งหมดอยู่ในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งนั้น เป็นต้น

การเข้ามาของทุนจีนในธุรกิจการศึกษา

สุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษาบริษัท คุชแมน แอนด์ เวคฟิลด์ เซอร์วิสเซส ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่าทุกมหาวิทยาลัยในประเทศไทยพยายามเข้าถึงกลุ่มชาวต่างชาติมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่ต้องการเรียนต่อระดับอุดมศึกษาในประเทศของตนเอง ทำให้จำนวนนักศึกษาต่างชาติในประเทศไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนั้น มาจากหลายประเทศด้วยกันทั้งประเทศเพื่อนบ้าน ในอาเซียน รวมไปถึงนักศึกษาต่างชาติจากประเทศอื่นๆ โดยมีนักศึกษาต่างชาติที่มาจากประเทศจีนมากที่สุด

“ข้อมูลจาก อว.พบว่า มีจำนวนนักศึกษาจีนมากถึง 28,052 คนหรือประมาณ 53% ของนักศึกษาต่างชาติทั้งหมดที่เข้ามาเรียนระดับอุดมศึกษาในประเทศไทย  มากกว่าตอนปีพ.ศ.2563 ซึ่งมีนักศึกษาจีนจำนวน 14,423 คนช่วงตั้งแต่ปีพ.ศ.2563 – 2567 มีจำนวนของนักศึกษาจากประเทศจีนเพิ่มขึ้นประมาณ 24%”สุรเชษฐ กล่าว

ทั้งนี้ นักศึกษาต่างชาติที่เข้ามาเรียนในไทยนั้น ได้แก่

  • จีน 28,052 คน
  • เมียนมาร์ 12,292 คน
  • กัมพูชา 1,871 คน 
  • ลาว 1,097 คน 
  • เวียดนาม 868 คน
  • อินโดนีเซีย 717 คน
  • ฟิลิปปินส์ 598 คน
  • อินเดีย 516 คน
  • ไนจีเรีย 468 คน
  • เนปาล 452 คน
  • อื่น ๆ  6,075 คน การร่วมทุนจีนในอุดมศึกษาไทย

สุรเชษฐ  กล่าวต่อว่าจากการที่นักเรียน นักศึกษาจากประเทศจีนเข้ามาเรียนในทุกระดับการศึกษาในประเทศไทยมากขึ้นเกิดจากหลายสาเหตุ อาทิ การเข้ามาของกลุ่มนักลงทุน หรือนักธุรกิจจากประเทศจีนที่ต้องการเข้ามาลงทุนหรือซื้อกิจการโรงเรียน และมหาวิทยาลัยในประเทศไทย จากนั้นทำกิจการทางการตลาดหรือการประชาสัมพันธ์ในประเทศจีนเพื่อดึงคนจีนเข้ามาเรียนหนังสือในประเทศไทยให้มากขึ้นเท่าที่เป็นข่าว

“การเข้ามาของนักลงทุนจีนในธุรกิจการศึกษา เป็นการเข้ามาซื้อหุ้นในบริษัท อาจจะซื้อมากกว่ากึ่งหนึ่งหรือเทกโอเวอร์แบบ 100% แล้วหาผู้บริหารที่มีสัญชาติไทยเข้ามาร่วมเป็นกรรมการบริษัทหรือใช้ผู้บริหารและกรรมการชุดเดิมมาร่วมเป็นคณะกรรมการ แต่เพิ่มเติมคนจีนเข้าไปในคณะกรรมการบริษัทเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายของประเทศไทย หรือมีส่วนของบริษัทที่มีคนจีนเป็นกรรมการเข้ามาเป็น 1 ในผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทที่มีชื่อเป็นเจ้าของมหาวิทยาลัย”สุรเชษฐ กล่าว

ปัจจัยนักธุรกิจจีนเลือกลงทุนการศึกษา

ดร.กัญจน์นิตา สุเชาว์อินทร์ คณบดีวิทยาลัยนานาชาติจีนและรองผู้อำนวยการสถาบันจีน-ไทย มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่านักธุรกิจจีน นิยมลงทุนด้านการศึกษา หันมาเทกโอเวอร์ มหาวิทยาลัยในไทย ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยมหาวิทยาลัยที่นายทุนจีนมาเทกโอเวอร์ มีลักษณะของการเข้ามาจัดการด้วยตนเอง ทำให้ทิศทางในการจัดการศึกษาเปลี่ยนไป เช่น ให้ทุนนักเรียนไทยเรียนภาษาจีนมากขึ้น แต่บางมหาวิทยาลัย นายทุนจีนเข้าไปถือหุ้น แต่ทีมผู้บริหารยังเป็นคนไทย

ปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนจีนต้องการเทกโอเวอร์มหาวิทยาลัยในไทย ได้แก่

1.ส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลาง เช่น กรุงเทพฯ และปริมณฑล นักลงทุนจีนเน้นพื้นที่ภูมิศาสตร์ ในการที่เดินทางสะดวก นักศึกษาจีนสามารถใช้ชีวิตได้สบาย และถ้าในพื้นที่นั้นมีชุมชนชาวจีนอยู่ จะได้รับความสนใจจากนายทุนเป็นพิเศษ

2.นักลงทุนจีน เน้นเจาะกลุ่มนักศึกษาจีนให้เข้ามาเรียนในไทย เพราะชาวจีนให้ความสำคัญกับการศึกษา แต่ด้วยการแข่งขันสอบเข้ามหาวิทยาลัยในจีนที่สูง ทำให้มีนักศึกษาบางส่วนสอบไม่ติด ซึ่งกลุ่มนักศึกษาจีนส่วนนี้ เริ่มมองหาที่เรียนในต่างประเทศ

3.ค่าเรียนมหาวิทยาลัยเอกชน หรือภาคพิเศษในจีน มีค่าใช้จ่ายสูงเทียบเท่ากับมาเรียนในไทย ขณะเดียวกันค่านิยมของผู้ประกอบการชาวจีน รับพนักงานที่จบจากต่างประเทศมากกว่าคนที่จบมหาวิทยาลัยในภาคพิเศษโดยบางเมืองของจีน มีการออกกฎว่า ถ้านักศึกษาจบในต่างประเทศ กลับมาทำงานในเมือง มีโอกาสได้รับการลดหย่อนภาษีซื้อบ้านและรถยนต์

คุมเข้มทุนจีนเทกโอเวอร์ม.เอกชน

ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้ให้สัมภาษณ์สื่อในเครือเนชั่นเมื่อเร็วๆ นี้ว่าภาพรวมการลงทุนของต่างชาติในสถาบันอุดมศึกษาเอกชนไทย โดยเฉพาะกรณีนักลงทุนจีนที่เข้ามาถือหุ้นในหลายสถาบัน ขณะนี้มี 3 มหาวิทยาลัยเอกชนของไทยที่มีนักลงทุนจีนเข้ามาลงทุน คือ มหาวิทยาลัยเกริก มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด และมหาวิทยาลัยชินวัตร ซึ่งกระทรวงได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเข้มงวดในการกำกับดูแลผ่านพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ทั้งในด้านหลักสูตร การเงิน และการบริหารจัดการ

"เรามีการติดตามอย่างต่อเนื่องในทุกมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะประเด็นที่น่ากังวลคือจำนวนนักศึกษาจีนที่เข้ามาเรียนค่อนข้างมาก ต้องตรวจสอบว่ามีการเรียนจริงหรือไม่ หรือเป็นการแอบแฝงเข้ามาทำงาน รวมถึงการตรวจสอบเรื่องคุณภาพการศึกษา การใช้เงินกองทุน และความผิดปกติต่างๆ" ปลัด อว. กล่าว

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกล่าสุดของมหาวิทยาลัยเอกชน 3 แห่ง ผ่านระบบการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ Creden Data จากฐานข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับโครงสร้างบริษัทที่บริหารงานมหาวิทยาลัยเอกชนทั้ง 3 แห่ง ทั้ง บริษัท เกริก สุวรรณี และบุตร จำกัด, บริษัท ฟาร์อีสต์ แสตมฟอร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และ บริษัท เฟธ สตาร์ (ประเทศไทย) จำกัด

เปิดโอกาสทุนจีนลงทุนการศึกษา

ดร.ศุภชัย  กล่าวต่อว่าแม้กฎหมายจะให้ความยืดหยุ่นเพื่อให้สถาบันสามารถปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของโลก แต่จำเป็นต้องมีมาตรการเพิ่มเติมในการกำกับดูแล โดยเฉพาะสถาบันที่มีต่างชาติถือหุ้น ซึ่งต้องมีการตรวจสอบที่มาของเงินลงทุนอย่างละเอียด เช่นเดียวกับมาตรฐานการกำกับดูแลสถาบันการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย

"เราอาจต้องพิจารณาใช้มาตรการคล้ายกับการขออนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว หรือการขอใบอนุญาตธนาคาร ที่ต้องมีการตรวจสอบที่มาของเงินทุนอย่างละเอียด และผู้ถือหุ้นต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนด เพื่อป้องกันการใช้ตัวแทน (nominee) มาถือหุ้นแทน" ปลัด อว. ระบุ

ความท้าทายธุรกิจการศึกษา

ดร.ศุภชัย  กล่าวอีกว่าการลงทุนจากต่างชาติยังเป็นโอกาสที่จะพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการศึกษา โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ มีความตึงเครียด ทำให้ไทยมีโอกาสในการดึงดูดนักศึกษาคุณภาพจากจีนให้เข้ามาเรียนและทำงานในไทยมากขึ้น

"เรากำลังผลักดันนโยบาย Study in Thailand เพื่อดึงดูดนักศึกษาต่างชาติที่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐมนตรี โดยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยไทยกับสถาบันการศึกษาชั้นนำจากต่างประเทศ เราต้องการให้ไทยเป็น Regional Education Hub แต่ต้องเป็นการร่วมมือกับสถาบันที่มีคุณภาพ และต้องมีการควบคุมมาตรฐานอย่างเข้มงวด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาการศึกษาของประเทศ" ปลัด อว. กล่าว

ทุนจีนเป็นโอกาสมหาวิทยาลัยไทย

ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย นายกสมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่าการลงทุนของกลุ่มทุนจีนในมหาวิทยาลัยเอกชนในประเทศไทย ถือว่าเป็นโอกาสที่สำคัญต่อการพัฒนาการศึกษาในประเทศ การเข้ามาของทุนจีนอาจช่วยยกระดับคุณภาพการเรียนการสอน และดึงดูดบุคลากรผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ให้เข้ามาสร้างชื่อเสียงและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของมหาวิทยาลัยไทย

“มหาวิทยาลัยที่มีทุนจีนถือหุ้นยังคงต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่กำหนดโดย อว. เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยไทยทั่วไป ซึ่งหมายความว่าไม่มีการสนับสนุนพิเศษเพิ่มเติม เช่น งบประมาณจากรัฐหรือสิทธิประโยชน์ทางภาษี เป็นต้น ยิ่งมหาวิทยาลัยเอกชน ไม่ได้มีแต้มต่อในการอุดหนุนเป็นพิเศษ แต่อาจจะได้โอกาสในการได้รับการดูแลคุณภาพวิชาการจากภาครัฐ”ดร.ธนวรรธน์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม การที่ทุนจีนเข้ามาเทกโอเวอร์ม.เอกชนที่ไม่สามารถดำเนินการต่อได้ เป็นส่วนหนึ่งของการปรับตัวทางธุรกิจ เช่นเดียวกับโรงเรียนอินเตอร์ที่เป็นของชาวต่างชาติในไทย ซึ่งในอนาคตอว. มีแนวโน้มสนับสนุนให้มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลกเข้ามาตั้งสาขาในประเทศไทยมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของนักศึกษาต่างชาติและเพิ่มโอกาสให้นักเรียนไทยได้เข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพสูง