ทุนจีนมาแรง! ธุรกิจจะอยู่ร่วมกับทุนจีนอย่างไรให้ 'ยั่งยืน' ?

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การลงทุนจากจีนเข้ามามีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจไทย โดยครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม เป็นอย่างมาก
KEY
POINTS
- สร้างจุดแข็งและความแตกต่าง – เน้นคุณภาพ นวัตกรรม และความเป็นไทย
- สร้างความร่วมมือและเครือข่าย – รวมกลุ่มธุรกิจ เพิ่มอำนาจต่อรอง
- ปรับตัวและยืดหยุ่น – ศึกษาตลาด ใช้เทคโนโลยี ปรับโมเดลธุรกิจ
- พัฒนาความรู้และทักษะ – ฝึกทักษะด้านเทคโนโลยี การตลาด และภาษาจีน
- ส่งเสริมความโปร่งใสและการมีส่วนร่วม – ปฏิบัติตามมาตรฐาน กฎหมาย และความรับผิดชอบต่อสังคม
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การลงทุนจากจีนเข้ามามีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจไทย โดยครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม เป็นอย่างมาก ตั้งแต่ภาคอสังหาริมทรัพย์ การผลิต อุตสาหกรรมเทคโนโลยี ไปจนถึงภาคการท่องเที่ยว
ข้อมูลจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) และ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ระบุว่า จีนเป็นหนึ่งในนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดของไทย โดยในปี 2566 เงินลงทุนโดยตรงจากจีน (FDI) ในไทยมีมูลค่าหลายแสนล้านบาท
การเข้ามาของทุนจีนมีทั้งด้านบวกและด้านลบ ธุรกิจไทยจึงต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับทุนจีนอย่างยั่งยืน
สร้างจุดแข็งและความแตกต่าง
หนึ่งในจุดอ่อนที่สำคัญของธุรกิจไทยเมื่อเปรียบเทียบกับทุนจีนคือ ต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า เนื่องจากจีนมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่า มีซัพพลายเชนที่แข็งแกร่ง และสามารถผลิตสินค้าจำนวนมากในราคาที่ต่ำได้ ดังนั้น ธุรกิจไทยไม่ควรแข่งขันกับจีนในด้านต้นทุนเพียงอย่างเดียว แต่ควรหันมาสร้างความแตกต่างในด้านอื่น ๆ เช่น
1.คุณภาพและมาตรฐานการผลิต
สินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพสูงและมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล สามารถดึงดูดลูกค้าที่ต้องการสินค้าที่ดีกว่า แม้ว่าจะมีราคาสูงกว่าก็ตามการได้รับมาตรฐานอุตสาหกรรม เช่น ISO, GMP, HACCP, Organic Certification สามารถเพิ่มมูลค่าให้สินค้าและสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า
2.ความประณีตและฝีมือช่าง
สินค้าบางประเภท เช่น งานหัตถกรรม เฟอร์นิเจอร์ไม้ เครื่องประดับ และเสื้อผ้าแฟชั่นระดับพรีเมียม ยังคงมีความได้เปรียบด้านฝีมือการผลิต ซึ่งเป็นสิ่งที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของจีนอาจเลียนแบบได้ยาก
3.นวัตกรรมและการออกแบบ
ธุรกิจที่สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีดีไซน์แปลกใหม่ ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จะสามารถสร้างตลาดเฉพาะกลุ่ม (niche market)
ได้ การร่วมมือกับนักออกแบบไทย หรือการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการผลิต สามารถเพิ่มความแตกต่างและทำให้สินค้าของไทยเป็นที่ต้องการมากขึ้น
4.ความเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมไทย
สินค้าและบริการที่สะท้อนอัตลักษณ์และวัฒนธรรมไทย เช่น อาหารไทย เครื่องสำอางสมุนไพร ผลิตภัณฑ์สปา งานศิลปหัตถกรรม สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและดึงดูดตลาดระดับพรีเมียม
5.การใช้แนวคิดธุรกิจที่ยั่งยืน (Sustainability)
ปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ธุรกิจไทยสามารถใช้จุดแข็งนี้เพื่อสร้างความแตกต่าง เช่น ใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม กระบวนการผลิตที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ หรือการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น
สร้างความร่วมมือและเครือข่าย
ในยุคที่ธุรกิจจีนเข้ามามีบทบาทในเศรษฐกิจไทยมากขึ้น ธุรกิจไทยไม่ควรแข่งขันโดยลำพัง แต่ควรสร้างพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อเพิ่มโอกาสและลดความเสี่ยง โดยสามารถดำเนินการได้ในหลายรูปแบบ เช่น
1.การรวมกลุ่มธุรกิจไทยเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง
ธุรกิจไทยที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันสามารถรวมตัวกันเป็นสมาคมหรือเครือข่าย เพื่อช่วยกันลดต้นทุนการจัดซื้อวัตถุดิบ เจรจาต่อรองกับซัพพลายเออร์ หรือขยายตลาดร่วมกัน การรวมกลุ่มกันยังช่วยให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน และเทคโนโลยีที่ทันสมัยได้ง่าขึ้น
2.ความร่วมมือกับธุรกิจต่างชาติ รวมถึงธุรกิจจีนเอง
ไม่ใช่ว่าทุกธุรกิจจีนจะเป็นคู่แข่ง ธุรกิจไทยสามารถมองหาความร่วมมือในลักษณะของการร่วมทุน (Joint Venture) หรือเป็นพันธมิตรทางการค้า (Strategic Partnership) กับธุรกิจจีนเพื่อแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี ความรู้ และขยายตลาดไปสู่จีนหรือประเทศอื่น ๆ
3.สร้างเครือข่ายกับหน่วยงานภาครัฐและองค์กรสนับสนุนธุรกิจ
การร่วมมือกับสถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ และองค์กรพัฒนาเศรษฐกิจ จะช่วยให้ธุรกิจไทยได้รับการสนับสนุนในด้านนโยบาย เทคโนโลยี และเงินทุน
ปรับตัวและยืดหยุ่น
ในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ธุรกิจไทยต้องมีความสามารถในการปรับตัว โดยสามารถดำเนินการได้ดังนี้
1.ศึกษาตลาดและแนวโน้มผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง
ธุรกิจต้องติดตามแนวโน้มทางเศรษฐกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับตลาดที่เปลี่ยนแปลง
2.ปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์
เช่น หากการแข่งขันในตลาดเดิมรุนแรงขึ้น ธุรกิจสามารถมองหาตลาดใหม่ ๆ หรือปรับผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าเฉพาะกลุ่มมากขึ้น
3.ใช้เทคโนโลยีและดิจิทัลให้เกิดประโยชน์
การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น E-commerce และ Social Media ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาช่องทางการขายแบบเดิม ๆ
พัฒนาความรู้และทักษะ
การพัฒนาบุคลากรเป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขันระยะยาว ธุรกิจไทยควรเน้นการลงทุนด้านการศึกษาและการฝึกอบรมในด้านต่อไปนี้
1.ทักษะด้านเทคโนโลยี
เช่น การใช้ AI, Big Data, IoT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ การใช้ระบบ ERP, CRM และเครื่องมือดิจิทัลอื่น ๆ เพื่อจัดการข้อมูลลูกค้าและซัพพลายเชน
2.ทักษะด้านการบริหารจัดการและการตลาด
การพัฒนาทักษะด้านการตลาดเชิงกลยุทธ์ และการสร้างแบรนด์ให้มีความโดดเด่น การเรียนรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภคจีน เพื่อสามารถแข่งขันในตลาดที่ได้รับอิทธิพลจากจีนมากขึ้น
3.ทักษะด้านภาษาและวัฒนธรรมจีน
การเข้าใจภาษาและวัฒนธรรมจีนจะช่วยให้ธุรกิจไทยสามารถสื่อสารและเจรจากับนักลงทุนหรือพันธมิตรจากจีนได้ดีขึ้น
ส่งเสริมความโปร่งใสและการมีส่วนร่วม
การดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสและมีความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความไว้วางใจจากลูกค้า นักลงทุน และพันธมิตรทางธุรกิจ โดยสามารถดำเนินการได้ดังนี้
1.ปฏิบัติตามมาตรฐานทางกฎหมายและจริยธรรม
การทำธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และมีธรรมาภิบาล จะช่วยลดความเสี่ยงและเสริมสร้างชื่อเสียงให้กับองค์กร
2.มีความรับผิดชอบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม
ธุรกิจไทยควรมีนโยบายด้าน CSR (Corporate Social Responsibility) เช่น การสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น หรือการใช้กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
3.เปิดรับความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ธุรกิจที่เปิดกว้างให้กับข้อเสนอแนะจากพนักงาน ลูกค้า และคู่ค้าจะสามารถพัฒนาได้อย่างยั่งยืน
หากธุรกิจไทยสามารถปรับตัวตามแนวทางเหล่านี้ได้ ก็จะสามารถอยู่ร่วมกับทุนจีนได้อย่างยั่งยืน และเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว







