ถอดประสบการณ์เรียนรู้จากการทำธุรกิจจริง ในโครงการ 'เพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์'

ถอดประสบการณ์เรียนรู้จากการทำธุรกิจจริง ในโครงการ 'เพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์'

ถอดประสบการณ์การเรียนรู้ทักษะชีวิต จากการลงมือทำธุรกิจจริงของน้องๆ ในโครงการ "เพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์" ค่ายส่งเสริมเยาวชน เรียนรู้ชีวิต ทำธุรกิจให้เป็นจริง

"66 วัน เรียนรู้ชีวิต ทำธุรกิจให้เป็นจริง" สำหรับโครงการ เพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์ ได้ปิดค่ายรุ่นที่ 1 ไปเรียบร้อยแล้ว เป็นค่ายเยาวชนน้องใหม่ที่จัดขึ้นในปี 2566 เป็นปีแรก ที่ตั้งใจบ่มเพาะเยาวชนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายให้มีความรู้ใหม่ ทักษะใหม่ด้านธุรกิจ พร้อมโอกาสในการสัมผัสประสบการณ์ลงมือทำธุรกิจจริง ด้วยเงินทุนสนับสนุนจาก มูลนิธิเพาะพันธุ์ปัญญา

โดยน้องๆ ที่เข้าร่วมค่ายในครั้งนี้ทั้ง 40 คน แบ่งเป็น 8 ทีม มาจาก 8 โรงเรียนทั่วจังหวัดน่าน ประกอบด้วย โรงเรียนศรีสวัสดิ์วิทยาคาร อ.เมืองน่าน โรงเรียนสา อ.เวียงสา โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 56 อ.เวียงสา โรงเรียนปัว อ.ปัว โรงเรียนท่าวังผาพิทยาคม อ.ท่าวังผา โรงเรียนเชียงกลางประชาพัฒนา อ.เชียงกลาง โรงเรียนพระธาตุพิทยาคม อ.เชียงกลาง และโรงเรียนเมืองลีประชาสามัคคี อ.นาหมื่น

โดยน้องๆ ทั้ง 8 ทีม จะเริ่มต้นตั้งแต่กระบวนการคิดธุรกิจ การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์จากสิ่งรอบตัว การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงการตลาด การโปรโมตและขายสินค้า ตลอดจนการจัดทำบัญชี ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้และทำขึ้นมาด้วยตัวเอง ผ่านปัญหาและอุปสรรคที่ต้องเผชิญและแก้ไขด้วยตัวเองตลอด 3 แคมป์ที่จัดขึ้นคือ กล้าเรียน กล้าลุย และกล้าก้าว รวมระยะเวลากว่า 2 เดือนเศษ นั่นจึงไม่ใช่แค่การเรียนรู้ในเชิงทฤษฎีการทำธุรกิจเท่านั้น แต่พวกเขายังได้ลงมือปฏิบัติไปพร้อมๆ กับการเรียนรู้ด้านทักษะชีวิต เพื่อเสริมเป็นภูมิต้านทานในการดำรงชีวิตให้พวกเขามีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ถอดประสบการณ์เรียนรู้จากการทำธุรกิจจริง ในโครงการ 'เพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์'

เรียนรู้ธุรกิจควบคู่ทักษะชีวิต

หากถามพวกเขาว่าได้รับอะไรบ้าง จากการให้ของ มูลนิธิเพาะพันธุ์ปัญญา ในครั้งนี้ คำตอบที่ได้คือสิ่งที่ได้รับมากกว่าที่คิดเอาไว้มาก ทั้งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และกล้าที่จะออกไปเผชิญกับโลกความเป็นจริงในอนาคต

ปูนปูน - ปุณญาวีร์ โนแก้ว ตัวแทนจากทีมโรงเรียนปัว บอกว่า โครงการ เพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์ ให้โอกาสได้เรียนรู้ ได้แสดงความสามารถ และเพาะสร้างความกล้า ทั้งกล้าเรียน กล้าลุย และกล้าที่จะก้าวออกไปเพื่อเติบโตอย่างมีคุณภาพ โดยหลายสิ่งที่ได้รับต่างจากการเรียนในห้องเรียนปกติ และลงมือทำธุรกิจกันจริง พัฒนาสินค้ากันจริง ด้วยการวางแผนธุรกิจกันเองและทำตามแผนที่กำหนด 

"สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ เกิดกระบวนการทางการคิดที่รอบคอบ และมองทุกสิ่งกว้างขึ้น เห็นทุกสิ่งทุกอย่างว่าทำไมสิ่งๆ นั้นถึงมีคุณค่า เป็นเพราะว่าเราคิดมากขึ้น คิดมากกว่าแค่มองเห็นเพียงด้านเดียวหรือมองไปที่จุดๆ เดียว แต่เรามองเห็นว่า กว่าจะไปถึงเป้าหมายนั้น ตลอดข้างทางยังมีคุณค่าอีกมากมาย ซึ่งนั่นคือหนึ่งในบทเรียนที่ได้รับจากค่ายแห่งนี้" ปูนปูน กล่าว  

ถอดประสบการณ์เรียนรู้จากการทำธุรกิจจริง ในโครงการ 'เพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์'

นับหนึ่ง - เพชรชรินทร์ คำพุฒ ตัวแทนจากทีมโรงเรียนสา กล่าวว่า การเป็นผู้ประกอบการนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะนอกจากจะต้องมีทุนและต้องใช้ความรู้แล้ว เรายังต้องใช้ปัจจัยอื่นๆ อีกหลายอย่าง ต้องผ่านการคิด การวางแผนอย่างเป็นระบบ การทำงานร่วมกันเป็นทีม มีความเชื่อใจกันในทีมอันจะส่งผลให้การทำงานออกมาได้ดี และสำหรับตนเองแล้ว หลังจากเข้าร่วมโครงการ เพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์ ทำให้ความสนใจที่จะเป็นนักธุรกิจของตัวเองเข้าใกล้มากขึ้นกว่าเดิม โดยจะนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับไปต่อยอดในอนาคต

ถอดประสบการณ์เรียนรู้จากการทำธุรกิจจริง ในโครงการ 'เพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์'

ออม - ปิยภรณ์ บัวทอง ตัวแทนจากทีมโรงเรียนศรีสวัสดิ์วิทยาคาร กล่าวว่า สิ่งที่ทีมเราทำได้ดีที่สุดคือ การแบ่งหน้าที่กันทำงานอย่างชัดเจนและแบ่งตามความถนัดของแต่ละคน พวกเราพูดคุยกันตลอด ทำให้สามารถวิเคราะห์ปัญหาได้แม่นยำกว่า เวลาเกิดปัญหาจะมาสรุปกันก่อนว่าปัญหาคืออะไร เกิดจากอะไร และหาทางออกที่จะทำให้สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด เช่น ในช่วงแรกที่พบว่าสินค้าขายไม่ดี คิดว่าเกิดจากการโปรโมตสินค้าน้อยเกินไป พวกเราจึงไปออกรายการวิทยุและออกบูธขายสินค้าตามงานต่างๆ เพิ่มขึ้น และขายสินค้าแยกกล่องจากการขายเป็นเซตรวมสินค้า ทำให้ขายดีมากขึ้น ซึ่งคิดว่าการทำธุรกิจต้องมีความยืดหยุ่นมากๆ และพร้อมรับมือกับปัญหาที่เข้ามาตลอด สิ่งเหล่านี้คิดว่าเป็นบทเรียนที่สามารถจะนำไปพัฒนาตนเองต่อได้แน่นอน 

พลูโต - ยศวรรธน์ มังคละ ตัวแทนจากทีมโรงเรียนท่าวังผาพิทยาคม กล่าวว่า พวกเราได้เรียนรู้หลายๆ อย่างที่แปลกใหม่ ได้ลงมือทำธุรกิจจริง และได้ประสบการณ์จริง เป็นทักษะชีวิตของจริง ซึ่งผลที่ออกมาถือว่าคุ้มค่ากับเวลามากๆ ทำให้พวกเรากล้าแสดงออกมากขึ้น มีความมั่นใจมากขึ้น รวมทั้งเก่งขึ้นด้วย ทีมเราทำได้ดีในหลายๆ เรื่อง ล้วนเกิดจากการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน รวมถึงการมีความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ การแบ่งงานกันชัดเจนในทีมช่วยให้การทำงานเป็นระบบทำได้ไม่ยาก และสำเร็จลุล่วงได้อย่างรวดเร็ว

"ทุกอย่างที่พวกเราลงมือทำด้วยตัวเองนั้น ถือเป็นการเรียนรู้ทั้งหมด เหมือนกับการลงทุนกับตัวเราเองด้วย ทั้งหมดเชื่อว่าจะสามารถนำไปปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้จริง" พลูโต กล่าว

ถอดประสบการณ์เรียนรู้จากการทำธุรกิจจริง ในโครงการ 'เพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์'

เติบโตและแข็งแกร่งขึ้น

สอดคล้องกับมุมมองของครูที่ปรึกษาจากแต่ละโรงเรียน ที่มาตอกย้ำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกของบรรดานักเรียน หลังจากเข้าร่วมโครงการฯ 

นันท์ณิภัค วังแสง และ อดิศักดิ์ สิทธิยศ ครูจากโรงเรียนพระธาตุพิทยาคม ให้ความเห็นว่า ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวเด็กชัดเจน โดยเฉพาะความกล้าแสดงออก และการนำเสนอผลงาน เพราะเด็กๆ จากโรงเรียนพระธาตุเป็นโรงเรียนที่อยู่ห่างไกล ปกติแล้วเด็กๆ จะไม่ค่อยแสดงออกมากนัก แต่ที่แคมป์นี้ทำให้พวกเขาได้ขึ้นเวที สามารถพูดจาได้ฉะฉาน ที่สำคัญยังรู้จักการแก้ปัญหา ถือเป็นทักษะสำคัญที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ในอนาคต ส่วนครูเองได้เรียนรู้ในเชิงธุรกิจไปพร้อมๆ กับนักเรียน และเทคนิคการเรียนการสอนที่มุ่งให้เด็กเกิดประสบการณ์เรียนรู้ที่เชื่อว่าจะสามารถสอดแทรกเข้าไปในการเรียนการสอนได้ 

ถอดประสบการณ์เรียนรู้จากการทำธุรกิจจริง ในโครงการ 'เพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์'

ดาราลักษณ์ อินปา และ เจนภพ วิถาน ครูจากโรงเรียนเชียงกลางประชาพัฒนา กล่าวว่า เพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์ มอบโอกาสให้เด็กได้เสนอความคิดของตัวเอง ทำให้กล้าแสดงออกและลงมือทำ ถือเป็นประโยชน์อย่างมากกับเด็ก พวกเขาค้นพบปัญหาและในบางครั้งที่พวกเขาล้ม แต่ก็หาวิธีได้ว่าจะลุกขึ้นมาสู้ต่ออย่างไรให้เร็วที่สุด ซึ่งสิ่งเหล่านี้เขาอาจจะไปเจอกับชีวิตจริงในอนาคต ขณะเดียวกัน ครูเองได้เห็นวิธีการสอนรูปแบบที่โค้ช และพี่เลี้ยงจะเน้นให้ข้อคิด แนวคิด ซึ่งเป็นการศึกษาแนวใหม่ในยุคปัจจุบันที่มุ่งเน้นให้ครูเป็นพี่เลี้ยงที่คอยชี้แนะแนวทางมากกว่าการไปยืนสอนอยู่หน้าห้อง เทคนิคเหล่านี้น่าจะเป็นประโยชน์และนำไปปรับใช้ได้

กิตติพันธ์ ท่าชัย และ วรรณศร แสงสง่า ครูจากโรงเรียนเมืองลีประชาสามัคคี กล่าวว่า นักเรียนที่นี่ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ห่างไกล พวกเขายังขาดประสบการณ์การพบปะสังคม แต่แคมป์นี้ให้โอกาสพวกเขาได้ฝึกการเข้าสังคม ทำให้เขามั่นใจขึ้น ยังมีทักษะการทำธุรกิจจริง พวกเขารู้แล้วว่ากว่าคนเราจะประสบความสำเร็จได้จะต้องลงมือทำ และกว่าจะสำเร็จได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย 

สุนิตา ไชยชนะ และ สงกรานต์ มหามิตร ครูจากโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 56 กล่าวว่า แคมป์นี้เป็นการเรียนรู้แบบใหม่ที่พวกเขาได้คิดเอง ตัดสินใจเอง ลงมือทำเองทุกขั้นตอน ทำให้เด็กๆ มีความสุขกับสิ่งที่พวกเขาได้ทำ เมื่อได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีอย่างนี้ ก็ทำให้ครูเองก็มีความสุขไปด้วย สุขที่ได้เห็นพวกเขามุ่งมั่นตั้งใจ แม้ช่วงแรกๆ เขาจะล้มลุกคลุกคลานไปบ้าง แต่เมื่อผ่านมาจนถึงวันสุดท้าย พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นและเติบโตขึ้นมาก

ถอดประสบการณ์เรียนรู้จากการทำธุรกิจจริง ในโครงการ 'เพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์'

หวังเป็นส่วนเล็กๆ ที่ช่วยลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ 

ดร.อดิศวร์ หลายชูไทย กรรมการผู้จัดการ มูลนิธิเพาะพันธุ์ปัญญา กล่าวว่า วัตถุประสงค์หลักของ มูลนิธิเพาะพันธุ์ปัญญา คือการให้ ซึ่งเป็นการให้องค์ความรู้ใหม่ และให้โอกาสในการสร้างประสบการณ์เพื่อให้เกิดทักษะใหม่ เป็นทักษะที่พวกเขาจะได้ติดตัวกลับไปและมีโอกาสนำไปใช้ชีวิตในอนาคต 

"หลังจากผ่านการจัดมาทั้งหมด 3 แคมป์ สิ่งที่สังเกตได้คือ น้องๆ เหล่านี้โตขึ้น มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น นั่นเกิดจากการที่เขาเห็นปัญหา สามารถวิเคราะห์ถึงปัญหาและบอกได้ว่าต้นเหตุของปัญหาคืออะไร รู้ว่าปัญหานั้นแก้ได้ และควรไปแก้ที่ต้นเหตุ เป็นกระบวนการคิดวิเคราะห์ผลที่เกิดจากเหตุด้วยตรรกะ หาทางออกด้วยการแก้ไขจากทักษะที่มี หรือหากเขาทำไปแล้วล้ม แต่ก็ยังทำต่อได้ด้วยความตั้งใจ โดยกลับมามองปัญหาใหม่ และแก้ไขอีกครั้ง สามารถลุกและเดินหน้าต่อจนจบค่ายได้ ที่สำคัญพวกเขาทำงานร่วมกันกับเพื่อนร่วมงานได้ แม้จะมีปัญหาเกิดขึ้นตลอดทาง เพราะอาจไม่คุ้นเคยกันมาก่อน อาจจะไม่เข้าใจกันทั้งหมด แต่พวกเขาสามารถจบลงได้ด้วยการพูดคุยกันได้" 

ถอดประสบการณ์เรียนรู้จากการทำธุรกิจจริง ในโครงการ 'เพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์'

ดร.อดิศวร์ กล่าวต่อไปว่า จากนี้ต่อไปการจะนำไปพัฒนาตนเองต่ออย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเขาเอง แต่เชื่อได้ 100% ว่าน้องๆ ที่ผ่านแคมป์เพาะพันธุ์ปัญญา พวกเขาจะคิดได้ว่ายังสามารถพัฒนาไปต่อได้อีกมาก และหากกลับบ้านไปแล้วคิดว่าการเรียนรู้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดชีวิต องค์ความรู้ใหม่ๆ ทักษะใหม่ๆ และประสบการณ์ใหม่ๆ จะช่วยทำให้ทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำธุรกิจหรือชีวิตส่วนตัว จะได้รับการดูแล ตีโจทย์ และแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้อง และหากเขาทำได้ทั้งหมดแบบนี้ ต่อไปไม่ว่าจะทำอะไรเชื่อว่าจะช่วยลดความเสี่ยงของความไม่สำเร็จลงได้

"ประโยชน์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลต่อเด็กเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อผู้ที่เข้าร่วมทั้งครูเองในฐานะผู้สังเกตการณ์ สามารถได้ทั้งความรู้ด้านธุรกิจและการเรียนการสอนที่สามารถนำไปปรับใช้ เพื่อช่วยให้นักเรียนบรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมายได้ และยังเกิดประโยชน์ต่อผู้ปกครองของเด็กเองด้วย ที่จะเห็นว่าบุตรหลานเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น วิธีคิดเปลี่ยน การมองปัญหาเปลี่ยน และวิธีการแก้ไขปัญหาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ส่วนในแง่ของสังคม การที่เด็กได้โอกาสการเรียนรู้นอกเหนือจากการเรียนปกติ ได้ความรู้ใหม่ และทักษะใหม่ เมื่อพวกเขาไปสู่สนามแข่งขันจริง จะสามารถแข่งขันกับคนอื่นได้ และรู้สึกว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าคนอื่นเลย นั่นสะท้อนได้ว่า เพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์ หรือมูลนิธิฯ เป็นส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งที่ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษานั้นลง ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าการดำเนินโครงการเพาะพันธุ์ปัญญานั้นมาถูกทางแล้ว" ดร.อดิศวร์ กล่าวทิ้งท้าย