'บัตรทอง' เล็งปรับระบบบริการ 'ผู้ป่วยเบาหวาน-ความดัน' อาการไม่รุนแรง

สปสช.เผยหน่วยนวัตกรรมช่วยลดแออัดรพ. 10 % เตรียมปรับระบบปลดล็อกให้บริการโรค NCDs ช่วยรพ.ดูแลผู้ป่วยเบาหวาน-ความดัน กลุ่มอาการไม่รุนแรง 25 %
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงจากกรณีที่ สปสช. เตรียมจะมีการดำเนินการปรับปรุงการให้บริการของ “หน่วยบริการนวัตกรรม 7 ประเภท” ว่า หน่วยบริการนวัตกรรม เกิดขึ้นจากนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ เป็นการให้บริการระดับปฐมภูมิ คือ เจ็บป่วยเล็กน้อยประชาชนไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล สามารถไปรับบริการใกล้บ้านได้ ซึ่งที่ผ่านมา ตัวเลขแสดงให้เห็นว่าลดความแออัดในโรงพยาบาลได้จำนวนหนึ่ง
จากข้อมูล สปสช.พบว่าในปี 2568 มีผู้ไปรับบริการผู้ป่วยนอกหรือ OPD ที่โรงพยาบาลประมาณ 170 ล้านครั้ง ซึ่งลดลงจากปี 2567 ที่มีผู้ป่วยนอกใช้บริการถึง 198 ล้านครั้ง แปลว่า หายไป 20 ล้านครั้ง ซึ่งไปปรากฎอยู่ที่หน่วยบริการนวัตกรรม ที่มีผู้มารับบริการ 10 ล้านคน ให้บริการประมาณ 30 ล้านครั้ง แสดงว่าภาพรวมผู้ป่วยนอกเพิ่มมา 10 ล้านครั้ง หรือประมาณ 5% แต่ผู้ป่วยนอกในรพ.ลดลงไป 10%
“เท่าที่ดูข้อมูลการลดความแออัดจะเป็นที่โรงพยาบาลขนาดเล็ก แต่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ยังมีผู้ใช้บริการผู้ป่วยนอกมาก แต่บางแห่งลด บางทแห่งเพิ่ม ซึ่งก่อนหน้านี้สปสช.ได้สื่อสารไปว่า กรณีนี้ควรลดความแออัดลงไปให้ได้ 25% แต่ตอนนี้ลดไปราว 10% โดยพบว่า คนที่ยังไปรับบริการ รพ.ขนาดใหญ่ คือ กลุ่มผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือเอ็นซีดี (NCDs)”นพ.จเด็จกล่าว
นพ.จเด็จ กล่าวด้วยว่า ข้อมูลตรงนี้ทำให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(บอร์ดสปสช.) ที่ผ่านมา มอบให้สปสช.ไปศึกษาและดำเนินการในส่วนเพิ่มการให้บริการดูแลรักษาโรค NCDs ในหน่วยบริการนวัตกรรมมากกว่าการให้บริการโรคทั่วไป ที่มีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย (Common illnesses) จึงเป็นที่มาของการปรับให้ประชาชนไปรับบริการโรคNCDs ใกล้บ้าน แทนที่จะไปรพ.ขนาดใหญ่ เพื่อลดความแออัดที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ ต้นทุนการให้บริการของหน่วยนวัตกรรมเฉลี่ย 100 กว่าบาทต่อครั้ง แต่ต้นทุน รพ.อำเภออยู่ที่ 440 บาทต่อครั้ง รพ.ศูนย์/รพ.ทั่วไป 1,500 บาทต่อครั้ง และรพ.โรงเรียนแพทย์ราว 2,500 บาทต่อครั้งในกลุ่มโรคเดียวกัน ดังนั้น สิ่งสำคัญเป้าหมาย คือ ต้องการให้หน่วยนวัตกรรมมาแบ่งเบาภาระงานของ รพ.ขนาดใหญ่ ดังนั้น จึงเตรียมจะปรับเป้าหมายจากเดิมหน่วยนวัตกรรมให้บริการอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย มาเป็นมุ่งเน้นให้หน่วยบริการนวัตกรรมบริการดูแลผู้ป่วยโรค NCDs เพิ่มมากขึ้น
เนื่องจาก 100 คนที่มารพ.นั้น ราว 50 % มาด้วยโรคเบาหวาน ความดัน และในจำนวนนี้ 25 % มักจะเป็นคนไข้ที่อาการไม่รุนแรง ซึ่งสามารถรักษาที่หน่วยบริการใกล้บ้านได้ เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.) รพ.ชุมชน หรือหน่วยนวัตกรรม เป็นต้น
จึงต้องมีการปรับระบบปรับให้หน่วยบริการนวัตกรรมสามารถเบิกค่าดูแลรักษาโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงได้ จากเดิมให้เบิกได้เพียงอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย รวมถึง พัฒนาเรื่องการเชื่อมข้อมูลระหว่างหน่วยบริการ และการคืนข้อมูลสุขภาพให้ผู้ป่วยผ่านแอปพลิเคชัน เหมือนการมีข้อมูลเวชระเบียนติดตัว ไม่ว่าไปรับบริการที่ไหน ก็สามารถยื่นข้อมูลให้หน่วยบริการนั้นๆได้
ถามว่าอนาคตระบบบริการกลุ่มคนป่วยเบาหวาน ความดันที่อาการไม่รุนแรงไม่ต้องไปรับบริการที่รพ.แต่มาใช้บริการหน่วยนวัตกรรมแทน นพ.จเด็จ กล่าวว่า อยากให้เป็นเช่นนั้น ซึ่งผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ที่ใกล้บ้านมีคลินิกแล้วเดินไปตรวจแล้วแพทย์ให้ยา เหมือนกับเดินทางไปรพ.ที่อาจจะต้องใช้เวลา 30 นาที เสียค่ารถราว 300 บาท ถามว่าจะเลือกแบบไหน เพียงแต่ที่ผ่านมายังไม่มีความมั่นใจว่าแพทย์คลินิกใกล้บ้านจะให้บริการดูแลรักษาโรคเหล่านี้ได้หรือไม่ ยาจะเหมือนกันหรือไม่
“หากอนาคตทำได้ เชื่อว่าค่าใช้จ่ายทางอ้อมจะลดลง โดยสปสช.มีการศึกษาว่าคนที่รักษาใกล้บ้าน จะมีค่าใช้จ่ายทางอ้อมลดลง เช่น ค่าเดินทางลดลงครึ่งหนึ่ง การรอคอยก็ลดลงครึ่งหนึ่ง จึงพยายามขับเคลื่อนเรื่องนี้ และหากสามารถสร้างค่านิยมใหม่ว่า เบาหวาน ความดันดูแลตัวเองดีที่สุด และดูแลโดยหน่วยบริการใกล้บ้านยิ่งดีใหญ่ ก็จะเกิดนวัตกรรมใหม่ในเรื่องไม่จำเป็นต้องไปแออัดรักษาโรคนี้ในรพ.ใหญ่ๆ”นพ.จเด็จกล่าว







