ทำไมการชำระหนี้การศึกษาควรขึ้นอยู่กับรายได้ | เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว

ทำไมการชำระหนี้การศึกษาควรขึ้นอยู่กับรายได้ | เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว

ระบบการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาที่การชำระเงินคืนขึ้นอยู่กับรายได้ที่เรียกว่า Income Contingent Loan (ICL) เป็นระบบที่มีความเหมาะสมกว่าการกู้ยืมแบบที่ต้องชำระหนี้ตามยอดที่กำหนดไว้ เป็นเหมือนการผ่อนบ้าน ผ่อนรถ

ระบบ Income Contingent Loan (ICL) มีลักษณะที่น่าสนใจ 3 ประการ 

ประการแรก  ไม่ต้องมีการค้ำประกันผู้กู้ ระบบนี้จึงช่วยให้คนที่ต้องการเรียนต่อระดับอุดมศึกษาแต่ไม่มีเงินทุนพอ ไม่มีหลักทรัพย์หรือผู้ค้ำประกัน ได้เรียนต่อได้ในสาขาที่ต้องการหากได้รับการคัดเลือกจากสถานศึกษา โอกาสในการเรียนต่อจึงไม่ต้องขึ้นอยู่กับฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว

ประการที่สอง  ผู้กู้มีสิทธิเลือกว่าจะเข้าเรียนในสถานศึกษาไหน  ซึ่งเป็นการกดดันให้สถานศึกษาต้องพัฒนคุณภาพในการผลิตบัณฑิตของตนเอง  เพราะหากนักศึกษาจบออกมาหางานดีๆ ทำไม่ได้  จำนวนนักศึกษาก็จะลดลง  ทำให้มหาวิทยาลัยอยู่ได้ยาก  ถึงจะไม่โดนปิด  อย่างน้อยผู้บริหารของมหาวิทยาลัยก็คงอยู่ไม่ติด เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะได้ต่อสัญญาอีกหรือเปล่า

ประการที่สาม  โครงสร้างของระบบถูกออกแบบมาให้มีความยืดหยุ่นเพื่อลดภาระทางการเงินของผู้กู้  เพราะกำหนดให้การชำระหนี้คิดเป็นร้อยละของรายได้ในแต่ละปี

จำนวนเงินที่ต้องผ่อนชำระคืนจึงเปลี่ยนแปลงไปตามระดับรายได้  ตอนไหนที่ชีวิตการงานก้าวหน้าได้เงินเดือนเยอะก็จ่ายมากหน่อย  ช่วงไหนดวงไม่ค่อยดีโดนลดเงินเดือนหรือตกงานก็ยังไม่ต้องจ่าย  

แม้จะมีหลักการทางเศรษฐศาสตร์รองรับอย่างมั่นคง  แต่การนำ ICL ใช้ในประเทศต่างๆ นั้นประสบผลสำเร็จไม่เหมือนกัน  ออสเตรเลีย ถือเป็นตัวอย่างของประเทศที่ประสบความสำเร็จในเรื่องนี้  

ปัจจัยที่ทำให้กองทุนกู้ยืมของออสเตรเลียประสบความสำเร็จมีอยู่ 3 ประการด้วยกัน  คือ  
1) การกำหนดเงื่อนไขการชำระเงินที่สอดคล้องกับโครงสร้างรายได้ในอนาคตของผู้กู้  
2)  การกำหนดอัตราดอกเบี้ยในระดับที่เหมาะสม  ช่วยลดการเสื่อมค่าของเงินที่เก็บได้ในอนาคต  และ 
3)  มีระบบการจัดเก็บที่ดี  โดยมีสรรพากรเป็นเจ้าภาพในการจัดเก็บไปพร้อมกับการเก็บภาษีรายได้ของผู้กู้

หากนำเอากองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) ของเราไปเทียบกับระบบของออสเตรเลียซึ่งถือว่าเป็นระบบที่ดีที่สุดระบบหนึ่งก็จะพบว่า  กรอ. มีจุดที่ต้องประเด็นที่ควรพัฒนาให้เหมาะสมขึ้น 3 ประการ

ประการแรก คือ อัตราการชำระเงินคืน รายได้ขั้นต่ำที่กำหนดให้ชำระเงินคืนคือปีละ 192,000 บาทหรือเดือนละ 16,000 บาท โดยชำระเงินคืนร้อยละ 5 แล้วเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 8 เมื่อรายได้เพิ่มเป็น 30,001– 70,000 บาทต่อเดือน และร้อยละ 12 เมื่อรายได้มากกว่า 70,000 บาทนั้น 

ทำไมการชำระหนี้การศึกษาควรขึ้นอยู่กับรายได้ | เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว

หากเทียบกับประเทศออสเตรเลียที่มีอัตราการชำระเงินเริ่มต้นร้อยละ 1 และสูงสุดร้อยละ 10 ของรายได้ โดยมีอัตราที่เพิ่มขึ้นถึง 18 ระดับ เพื่อให้ภาระในการจ่ายเพิ่มขึ้นทีละน้อย จะเห็นว่าอัตราเริ่มต้นและอัตราสูงสุดของไทยมีค่าสูงกว่า

นอกจากนี้แล้ว อัตราของการชำระหนี้มีเพียง 3 ระดับ ทำให้ภาระในการชำระหนี้เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด แทนที่จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทีละน้อยเหมือนของประเทศออสเตรเลีย ที่จะช่วยให้ผู้กู้มีโอกาสในการปรับค่าใช้จ่ายส่วนอื่นในชีวิตไม่ให้ได้รับผลกระทบจากการชำระหนี้มากนัก

ประการที่สอง คือ การกำหนดสาขาวิชาที่กู้ กรอ. ได้ บนหลักการว่าสาขาเหล่านี้เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน น่าจะมีรายได้สูงจนสามารถชำระหนี้ได้ตามเกณฑ์การชำระหนี้ที่กำหนดขึ้น เป็นสิ่งที่ค้านกับวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของหลักการพื้นฐานของการชำระหนี้ด้วยวิธีนี้

เพราะการกำหนดให้การชำระหนี้แบบกำหนดให้ผูกพันกับรายได้ถูกออกแบบมาเพื่อลดภาระทางการเงินของผู้กู้ในกรณีที่ไม่ประสบความสำเร็จในตลาดแรงงาน หรือพบกันเหตุการณ์อื่นจนส่งผลต่อรายได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ประการที่สาม คือ ประสิทธิภาพของการเก็บหนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการเก็บหนี้ การรับรู้รายได้ และกลไกในการชำระหนี้ ปัญหาแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับประเทศออสเตรเลีย  เพราะเขามีระบบจัดเก็บภาษีที่ดีและรายได้ของคนจนมหาวิทยาลัยค่อนข้างสูง 

บางคนพอเรียนจบก็เริ่มจ่ายได้เลย  และเพียงไม่กี่ปีคนส่วนใหญ่ก็มีรายได้ถึงขั้นต้องเสียภาษีอยู่แล้ว  ภาระทางการคลังของเขาจึงไม่สูงมาก  ระบบการจัดเก็บภาษีที่มีประสิทธิภาพ  ช่วยให้สามารถติดตามผู้กู้ได้และมีต้นทุนในการจัดเก็บต่อคนที่ต่ำ

ขอฝากการบ้านไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องว่า หลังจากนี้ไปตลาดแรงงานจะมีความผันผวนมาก การมีระบบการชำระหนี้ที่ “เป็นมิตร” กับผู้กู้มากขึ้น ย่อมช่วยบรรเทาผลกระทบทางการเงินของผู้กู้ได้ ทำให้กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษากลายเป็นเครื่องมือในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยได้ทั่วถึงและยั่งยืนอย่างแท้จริง.
คอลัมน์ หน้าต่างความคิด 
ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว 
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
[email protected]