ควบคุมโรคโควิด-19 เปิดประเทศให้ได้ยั่งยืน

การตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ในประเทศไทยมีเพิ่มมากขึ้นหลังจากพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ดังกล่าวครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 ธ.ค.2564 เป็นชายอายุ 35 ปี สัญชาติอเมริกัน ซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศสเปนเป็นเวลา 1 ปี โดยได้รับวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน 1 เข็ม จากสหรัฐเป็นที่เรียบร้อย หลังจากนั้นมีการพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ดังกล่าวในประเทศไทยต่อเนื่องถึงแม้ว่าล่าสุดจะยังมีจำนวนไม่มาก แต่จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มสูงขึ้นแน่นอน ซึ่งจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป

ประเทศไทยเริ่มเปิดประเทศเมื่อวันที่ 1 พ.ย.2564 ซึ่งรัฐบาลมีเป้าหมายที่จะเปิดประเทศให้ได้ตลอดทั้งปี โดยทำให้มีการเร่งฉีดวัคซีนให้ครบ 100 ล้านโดสภายในสิ้นเดือน ธ.ค.2564 เพราะมีข้อสรุปที่ชัดเจนว่าการปิดประเทศในช่วงที่ผ่านมาทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต้องหยุดไปและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมาก รวมทั้งทำให้ต้องมีการจัดสรรทรัพยากรจำนวนมากเพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทั้งกลุ่มประชาชนและผู้ประกอบการ รวมทั้งต้องใช้ทรัพยากรที่ใช้ในการควบโรค

การพบเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนถึงแม้จะมีความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์เดลตา แต่เป็นสายพันธุ์ที่ติดเชื้อง่าย และมีการยืนยันจากองค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) ว่าบริษัทผู้ผลิตวัคซีนสามารถปรับสูตรเพื่อป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์ใหม่ได้ ซึ่งรัฐบาลได้มีการเตรียมความพร้อมในการควบคุมโรค โดยเฉพาะวัคซีนที่มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเจรจากับบริษัทผู้ผลิตเพื่อขอให้ส่งมอบวัคซีนรุ่นใหม่เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการควบคุมโรคเพิ่มมากขึ้น

หากประเทศไทยไม่สามารถควบคุมสายพันธุ์ใหม่ได้และเกิดการระบาดระลอกใหม่ในระดับเดียวกับสายพันธุ์เดลตา จะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นฟูประเทศจากผลกระทบของการระบาดในช่วงเกือบ 2 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งหลายฝ่ายกังวลว่าการระบาดของสายพันธุ์จะเป็นอุปสรรคสำคัญของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาส 1 ปี 2565 ดังนั้นรัฐบาลจะต้องมีแผนปฏิบัติงานที่รัดกุมในการรับมือกับสายพันธุ์ใหม่ เพื่อให้คนไทยก้าวข้ามวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้

จะเป็นเรื่องน่าเสียดายมากหากประเทศไทยต้องย้อนกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์และต้องการมาปิดประเทศอีกครั้ง นั่นหมายความว่าประเทศไทยจะเสียโอกาสในการฟื้นฟูประเทศให้ทันกับหลายประเทศที่กำลังเดินหน้าฟื้นฟูสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลคงมีข้อมูลที่เพียงพอถึงจุดอ่อนหรือข้อผิดพลาดในการควบคุมโรคช่วงที่ผ่านมา และแม้ว่าจะไม่มีทางที่ทำให้โควิด-19 เหลือศูนย์ จึงต้องบริหารจัดการให้อยู่ร่วมกับโควิด-19 ให้ได้ เพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อและสามารถเปิดประเทศได้แบบยั่งยืน