ปัจจัยสำคัญที่คนไทยเสียชีวิตจาก "โควิด19" หลังปรับลดระดับโรคมา 2 เดือน

ปัจจัยสำคัญที่คนไทยเสียชีวิตจาก "โควิด19" หลังปรับลดระดับโรคมา 2 เดือน

2 เดือนโควิด 19 เป็นโรคเฝ้าระวัง แต่ต้องอย่าลืมว่าติดเชื้อซ้ำได้  กลุ่มเสี่ยงขอให้เข้ารับวัคซีนโควิดเข็มกระตุ้น จะช่วยลดความรุนแรงและเสียชีวิต

      นับตั้งแต่ 1 ต.ค.2565 ประเทศไทย ประกาศให้โรคโควิด 19 เป็นโรคติดต่อต้องเฝ้าระวัง จากเดิมที่เป็นโรคติดต่ออันตราย  ผ่านมาแล้วเกือบ  2 เดือน สถานการณ์ล่าสุดเป็นอย่างไร

      เมื่อวันที่ 18 พ.ย.2565  นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า จากข้อมูลสถานการณ์พบว่าผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาล ร้อยละของผู้ป่วยที่มีอาการหนัก มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา

ขอให้เข้ารับวัคซีนโควิด19เข็มกระตุ้น

        วัคซีนเข็มกระตุ้นจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดอาการรุนแรงและการเสียชีวิตจากโรคโควิด 19 ได้ ยิ่งช่วงนี้เข้าสู่ฤดูหนาว ประกอบกับประชาชนเริ่มผ่อนคลายการสวมหน้ากาก มีกิจกรรมรวมตัวจำนวนมากเนื่องจากเข้าใกล้เทศกาลช่วงปลายปี ทำให้ผู้คนมีโอกาสติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น ซึ่งบางคนอาจจะติดเชื้อซ้ำได้ ดังนั้น

      ผู้ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนเลยขอให้รีบมารับวัคซีนโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุหรือกลุ่มเสี่ยงโรคเรื้อรัง หรือหากรับวัคซีนเข็มล่าสุดนานเกิน 3 เดือนขึ้นไป ก็ขอให้มารับเข็มกระตุ้นได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้น และปลอดภัยจากโรคโควิด 19 มากขึ้น

โควิด19ติดเชื้อซ้ำได้

ส่วนกรณีถึงข้อมูลที่มีการเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดียเรื่องการติดเชื้อโควิด 19 ซ้ำ เสี่ยงเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 2 เท่า และป่วยหนักมากกว่าเดิม 3 เท่า ว่า ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าผู้ที่ติดเชื้อโควิด 19 แล้วสามารถติดเชื้อซ้ำได้ เนื่องจากภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติที่เกิดจากการติดเชื้อ หรือภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากวัคซีนป้องกันโควิด 19 สามารถลดลงได้เมื่อระยะเวลาผ่านไป

คงมาตรการป้องกันโควิด19

     การป้องกันการติดเชื้อที่ดี คือ การยังคงปฏิบัติตนตามมาตรการป้องกันส่วนบุคคล โดยเฉพาะการสวมหน้ากากเมื่ออยู่ในพื้นที่สาธารณะ หรือมีผู้คนรวมตัวกันจำนวนมาก ล้างมือบ่อยๆ

     “ แม้จะมีโอกาสติดเชื้อซ้ำ แต่เมื่อร่างกายเคยมีภูมิคุ้มกันแล้วก็จะช่วยลดความรุนแรงของโรคลง เห็นได้จากการที่ประเทศไทยมีการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 ไปแล้วกว่า 143 ล้านโดส และตั้งแต่การฉีดวัคซีนมีความครอบคลุมมากขึ้นสถานการณ์ความรุนแรงของโรคโควิด 19 ก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง จนสามารถปรับลดจากโรคติดต่ออันตรายมาเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังได้”นพ.โอภาสกล่าว  
สายพันธุ์โควิด19 ในไทย

    ขณะที่เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2565  นพ.ศุภภิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์  ให้ข้อมูลว่า ในประเทศไทยสายพันธุ์หลักยังเป็นโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.5  แต่ดูเหมือนว่า BA.2.75  มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นชัดเจน แต่จะเร็วแค่ไหนต้องรอข้อมูลรายสัปดาห์มาเทียบสัดส่วน

โควิด19 เดลทาครอนXBC

      ส่วนกรณีสายพันธุ์ “เดลทาครอน XBC” หรือลูกผสมระหว่างโควิดสายพันธุ์เดลต้าและโอมิครอน BA.2 ที่พบการระบาดในประเทศฟิลิปปินส์ และกลายพันธุ์ไปมากกว่า XBB และ BQ.1นั้น

     นพ.ศุภกิจ บอกว่า ขณะนี้ยังมีข้อมูลน้อยเกินไปที่จะระบุว่ามีความรุนแรงหรือแพร่เชื้อเร็วขึ้นอย่างไร เป็นเพียงการคาดการณ์จากผลทางห้องแล็ปว่าอาจจะรุนแรงเท่าเดลต้า ความเร็วเท่าโอมิครอน แต่โดยจำนวนที่พบตอนนี้ยังไม่มาก

  •  XBC ยังไม่เห็นสัญญาณความรุนแรง
  • วัคซีนโควิด19 ที่ฉีดกันมา 4-5 เข็ม ภูมิคุ้มกันที่ได้อาจมีค่าไตเตอร์สำหรับสู้กับโอมิครอนรุ่นหลังๆ ได้น้อย แต่กับรุ่นเก่า เช่น เดลต้า อัลฟ่า ยังได้ผลดีอยู่
  •  หากมีการตั้งสมมติฐานว่าความรุนแรงเท่าเดลต้าจริง ถ้ามาเจอวัคซีนก็สามารถป้องกันได้ เพราะภูมิฯ ยังสู้กับเชื้อเก่าๆ ได้
  •   ขณะนี้ในประเทศไทย จากการเฝ้าระวังยังไม่พบ XBC
  • ส่วนโอมิครอน XBB กรมวิทย์รายงานไปตั้งแต่ช่วงเดือนที่แล้วว่า ไทยเจอ XBB แล้ว

แต่ละภูมิภาคมีความชุกของโรคไม่เท่ากัน อย่างเช่น

  • อเมริกา หรือยุโรป ก็จะเจอ BQ.1 , BQ.1.1
  • เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็จะเจอเป็น BA.2.75 , XBB

 

 

///////