หุ้นจีนพุ่ง สวนทางรายได้บริษัทซบ สัญญาณเตือน ’ฟองสบู่’ ?

หุ้นจีนพุ่ง 16.16% สวนทางผลประกอบการบริษัทซบเซา ไร้ปัจจัยแข็งแกร่งหนุน การซื้อขายหุ้นด้วยเงินกู้ทำนิวไฮ 2.8 ล้านล้านหยวน สัญญาณเตือนตลาด ’ฟองสบู่’ ?
KEY
POINTS
- ดัชนี CSI 300 พุ่งขึ้นกว่า 16% สวนทางกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและผลประกอบการบริษัทที่ซบเซา ทำให้เกิดความกังวลเรื่องความยั่งยืนของการเติบโต
- ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2 โตเพียง 1.6% สะท้อนว่าการพุ่งขึ้นของหุ้นไม่ได้มาจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง
- ทางการจีนและกองทุนต่างๆ เริ่มออกมาตรการเพื่อลดความร้อนแรงของตลาด เช่น การจำกัดวงเงินซื้อกองทุน และพิจารณาผ่อนคลายกฎการขายชอร์ต (Short Selling) เพื่อป้องกันการเกิดฟองสบู่ซ้ำรอยอดีต
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า “ตลาดหุ้นจีน” ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนหลายคน เพราะจู่ๆ หุ้นจีนก็เติบโตแซงหน้าตลาดทั่วโลก โดยดัชนี CSI 300 พุ่งขึ้นถึง 16.16% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน และมูลค่าแตะ 1 ล้านล้านหยวน
แต่ทว่าการเติบโตนี้มาพร้อมกับสัญญาณเตือนที่น่ากังวลคือ การเติบโตของตลาดหุ้นไม่ได้สอดคล้องกับตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัว “ซึ่งเป็นคำถามสำคัญว่าจะทำให้ตลาดหุ้นจีนเติบโตต่อไปได้ไกลแค่ไหน” และสัญญาณการลงทุนแบบ FOMO ที่กลัวการตกรถ จะพุ่งแรงถึงขั้นเป็น “ฟองสบู่” หรือไม่
เรื่องนี้ นำไปสู่ความกังวลเรื่องความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นสำหรับนักลงทุน ส่งผลให้โบรกเกอร์และผู้จัดการกองทุนในประเทศบางส่วนต้องเริ่มลดการระดมทุนและจำกัดการซื้อขาย
‘เงินออมนิวไฮ’ หนุนหุ้นจีนพุ่ง
เบื้องหลังการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนนั้น มีปัจจัยสำคัญคือ เม็ดเงินลงทุนที่มาจากภาคครัวเรือน จากข้อมูลของ HSBC ระบุว่ายอดรวมเงินออมของครัวเรือนชาวจีนในปัจจุบันมีมูลค่ามากกว่า 160 ล้านล้านหยวน หรือประมาณ 814.4 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และมีมูลค่ามากกว่า 1 ใน 3 ของมูลค่าตลาดรวมของตลาดหุ้นสหรัฐทั้งหมด
นักลงทุนรายย่อยชาวจีนเป็นผู้ขับเคลื่อนกิจกรรมส่วนใหญ่ในตลาดหุ้น โดยคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 90% ของการซื้อขายรายวัน ซึ่งแตกต่างจากตลาดหุ้นหลักอื่นๆ ทั่วโลกอย่างสิ้นเชิง เช่น ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กที่นักลงทุนรายย่อยคิดเป็นเพียงประมาณ 20-25% ของปริมาณการซื้อขายเท่านั้น
รายงานจาก Global X ETF เมื่อเดือนพ.ย. 2567 เผยให้เห็นว่าสัดส่วนการลงทุนของครัวเรือนชาวจีนมีความแตกต่างอย่างชัดเจนจากประเทศตะวันตก โดยมีตัวเลขดังนี้
- อสังหาริมทรัพย์: 60%
- เงินฝาก: 25%
- หุ้น: 5% สะท้อนการจัดสรรเงินลงทุนในตลาดหุ้นของครัวเรือนชาวจีนยังถือว่าต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับสหรัฐที่ 25 และยุโรป 12%
ตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า หากชาวจีนเปลี่ยนใจนำเงินออมส่วนใหญ่มาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น ก็จะส่งผลให้ตลาดเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต
มาร์จิ้นพุ่ง หวั่น ‘ฟองสบู่แตก’ ซ้ำรอยเดิม
ทางการจีนต้องการให้ตลาดหุ้นเติบโตแบบยั่งยืนและมีเสถียรภาพ หรือที่เรียกว่า “ตลาดกระทิงที่ชะลอตัว” (a slow-moving bull market) เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนสร้างความมั่งคั่งอย่างค่อยเป็นค่อยไป และกระตุ้นการบริโภคในระยะยาว และกังวลว่า “ฟองสบู่แตก” ซ้ำรอยเดิม
ย้อนไปในปี 2558 ดัชนี CSI 300 พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว 114.26% จาก 2,441 จุด ไปที่ระดับ 5,230 จุด ภายในระยะเวลา 8 เดือน หลังจากนั้นตลาดร่วงลงอย่างฉับพลัน ซึ่งจะทำให้นักลงทุนรายย่อยขาดทุนมหาศาล
สัญญาณที่น่ากังวลคือ การซื้อขายหุ้นด้วยเงินกู้กำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยแตะระดับ 2.8 ล้านล้านหยวน หรือประมาณ 11.4 ล้านล้านบาท ในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 58 ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นเคยอยู่ในภาวะฟองสบู่จากการลงทุนที่มากเกินไป
นักวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่า อัตราส่วนของการซื้อขายมาร์จิ้นใหม่ได้เพิ่มขึ้นเกือบ 12% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดในปลายเดือนส.ค.ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึง ความกลัวที่จะพลาดโอกาส (FOMO) ของนักลงทุนที่เริ่มเข้ามาเก็งกำไรในตลาดมากขึ้น โดยส่วนใหญ่จะใช้เงินที่กู้ยืมมาเป็นหลัก
หุ้นจีนพุ่งสวนทาง ‘ผลประกอบการ’
ผลประกอบการของบริษัทจีนในไตรมาสที่ 2 ได้เปิดเผยความจริงที่น่าตกใจว่า การเติบโตอย่างรวดเร็วของราคาหุ้นไม่ได้มีปัจจัยพื้นฐานจากรายได้ที่แข็งแกร่งมาสนับสนุน
ข้อมูลจาก China International Capital Corp (CICC) ระบุว่า บริษัทที่จดทะเบียนในจีนแผ่นดินใหญ่มีกำไรเพิ่มขึ้นเพียง 1.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัดจากไตรมาสก่อนหน้าที่เคยเติบโต 3.5%
การเติบโตเพียงเล็กน้อยนี้ส่วนใหญ่มาจาก บริษัทในภาคการเงิน ซึ่งมีรายได้จากค่าธรรมเนียมและกำไรอื่นๆ เข้ามาช่วยหนุน ในทางตรงกันข้าม ภาคธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน กลับรายงานผลประกอบการโดยรวมที่ขาดทุน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจที่แท้จริงยังคงอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วง และยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
ในเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ภาคการผลิต การลงทุน และยอดค้าปลีกของจีนล้วนออกมาน่าผิดหวัง นอกจากนี้ ดัชนีราคาผู้ผลิตก็ปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 34 ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทและบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
แม้แต่บริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์อย่าง China Vanke Co. ก็ยังรายงานผลขาดทุนในครึ่งปีแรกที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าจะได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากรัฐบาลท้องถิ่นในเมืองเซินเจิ้นแล้วก็ตาม
Eugene Hsiao นักวิเคราะห์หุ้นจีนจาก Macquarie Capital กล่าวว่า “แม้ตลาดหุ้นจะดูดี แต่เราก็ต้องระมัดระวังเพราะตลาดหุ้นจะยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อมีผลประกอบการของบริษัทที่แข็งแกร่งมารองรับ ไม่ใช่เพียงแค่การเก็งกำไรในระยะสั้น”
‘จีน’ จ่อออกมาตรการแตะเบรก
กองทุนรวมในจีนหลายแห่งก็เริ่มจำกัดวงเงินการซื้อรายวัน สำหรับกองทุนที่ทำผลงานได้ดีที่สุดของปีนี้ โดยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา กองทุน GF Star Growth Index ETF ได้กำหนดวงเงินซื้อสูงสุดต่อวันไว้ที่เพียง 100 หยวน (ประมาณ 14 ดอลลาร์) ซึ่งนับเป็นมาตรการที่เข้มงวดที่สุดเมื่อตลาดพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงจนเสี่ยง “ปรับฐาน”
ขณะนี้หน่วยงานกำกับดูแลของจีนกำลังพิจารณาใช้มาตรการหลายอย่างเพื่อลดความร้อนแรงในตลาดหุ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างการเติบโตและการป้องกันความเสี่ยง
หนึ่งในแนวทางสำคัญที่กำลังพิจารณาคือ การผ่อนคลายกฎระเบียบเกี่ยวกับการขายชอร์ต (Short Selling) ซึ่งโดยปกติแล้วการขายชอร์ตเป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุนใช้เมื่อคาดว่าราคาหุ้นจะลดลง การอนุญาตให้มีการขายชอร์ตมากขึ้นอาจช่วยสร้างแรงต้านต่อราคาหุ้นที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และลดพฤติกรรมการเก็งกำไรลงได้
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าทางการจีนกำลังเตรียมมาตรการอื่น ๆ เพื่อควบคุมการซื้อขายที่เน้นการเก็งกำไรโดยเฉพาะ เพื่อให้แน่ใจว่าการเติบโตของตลาดเป็นไปอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่การปั่นราคาที่ไร้พื้นฐานทางเศรษฐกิจรองรับ
อนาคต ‘หุ้นจีน’
นักวิเคราะห์จาก มอร์แกน สแตนลีย์ คาดการณ์ว่า ดัชนี CSI 300 จะแตะระดับ 4,700 จุด ในระยะใกล้ จากการไหลเวียนของเงินทุนจากพันธบัตรและเงินฝากออมทรัพย์กลับเข้ามาในตลาดหุ้น และความคาดหวังว่ารัฐบาลจะผ่อนคลายนโยบาย
ทั้งหุ้น Blue-chip และ Small-cap ของจีนกำลังมีราคาที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับกำไรในอนาคตที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าตลาดกำลังมีราคาแพง หรืออาจจะมีความเสี่ยงที่จะปรับฐานลงในอนาคต
ธนาคารโนมูระ ได้ออกมาเตือนถึงความเสี่ยงของการใช้เลเวอเรจที่สูงเกินไป และความเป็นไปได้ที่จะเกิด "ฟองสบู่" ในตลาดหุ้นจีน เนื่องจากราคาหุ้นยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเศรษฐกิจจีนในช่วงครึ่งปีหลังจะเริ่มมีสัญญาณที่ชะลอตัวลงก็ตาม
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานกำกับดูแลของจีนอาจจะยังมีเวลาตัดสินใจว่าจะเข้าแทรกแซงตลาดหรือไม่ เนื่องจากข้อมูลล่าสุดระบุว่า นักลงทุนรายย่อยยังไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในตลาดมากเท่ากับในอดีต ซึ่งแตกต่างจากช่วงก่อนวิกฤติหุ้นตกในปี 2558 ที่นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากเข้ามาลงทุนอย่างหนัก ดังนั้น การที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นในครั้งนี้จึงอาจไม่ได้เปราะบางอย่างที่หลายคนกังวล และอาจจะยังไม่ถึงขั้นเป็นสัญญาณของ "ฟองสบู่" ที่พร้อมจะแตกในเร็วๆ นี้
แต่หากตลาดหุ้นจีนยังคงเติบโตต่อไปอย่างร้อนแรงจนเกิดภาวะฟองสบู่และแตกในที่สุด อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งปัจจุบันกำลังเผชิญกับหลายปัญหาอยู่แล้ว ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจซบเซาและวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่คลี่คลาย
อ้างอิง bangkokbiznews Bloomberg1 Bloomberg2







