ผลกระทบสงครามการค้า เศรษฐกิจ-ตลาดหุ้นไทย

บล.บัวหลวงเผย ผลกระทบต่อไทยจากการขึ้นภาษีสินค้าจีนของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ อาจไม่รุนแรงเท่ากับสงครามการค้าระลอกแรกในปี 2019 เนื่องจากผู้ผลิตจีนได้มีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นๆ มากแล้ว โดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียน เพื่อเลี่ยงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่หุ้นไทย คาดระยะสั้นมีโอกาส oversold rebound ได้หลังปรับตัวลงมาแรง
ดร.วัชราภรณ์ กันทะพะเยา นักเศรษฐศาสตร์ บล.บัวหลวง เปิดเผยว่า จากการที่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดา และเม็กซิโกที่ 25% ขณะที่ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนที่ 10% เรามองว่า จะส่งผลกระทบเชิงลบกับเศรษฐกิจไทยอยู่ 2 ส่วนหลัก คือ
1.การส่งออกไทยโตชะลอลง โดยการขึ้นภาษีนำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ไทยอาจไม่ได้รับผลกระทบเชิงลบโดยตรงมากนัก เนื่องจากไทยส่งออกสินค้าไปยังแคนาดาและเม็กซิโกโดยรวมไม่มาก คิดเป็น 2.18% ของมูลค่าการส่งออกไทยทั้งหมด
ส่วนการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนของสหรัฐฯ คงส่งผลกระทบกับการส่งออกไทยมากกว่ากรณีแคนาดาและเม็กซิโก เนื่องจากจีนเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของไทย คิดเป็นสัดส่วนราว 11.75% ของมูลค่าการส่งออกไทยทั้งหมด โดยเรามองว่า ผลกระทบต่อไทยจากการขึ้นภาษีสินค้าจีนของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ อาจไม่รุนแรงเท่ากับสงครามการค้าระลอกแรกในปี 2019 เนื่องจากผู้ผลิตจีนได้มีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นๆ มากแล้ว โดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียน เพื่อเลี่ยงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี สินค้าบางกลุ่มก็อาจได้รับผลกระทบบ้างจากการเป็นสินค้าในห่วงโซ่อุปทานของสินค้าส่งออกของเม็กซิโก แคนาดา และจีน รวมถึงผลกระทบจากอุปสงค์ในประเทศเม็กซิโก แคนาดา และจีนที่ลดลงจากภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากผลกระทบของสงครามการค้า โดยมีรายละเอียดดังนี้
- เม็กซิโก สินค้าส่งออกที่ได้รับผลกระทบชิ้นส่วนยานยนต์ ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ ชิ้นส่วนโทรศัพท์
- แคนาดาสินค้าส่งออกที่ได้รับผลกระทบอาหารทะเลกระป๋อง เหล็ก สินค้าเกษตร (อาทิ ข้าว ยางพารา)
- จีนสินค้าส่งออกที่ได้รับผลกระทบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขั้นต้นและขั้นกลาง (อาทิ คาร์บอนอิเล็กโทรด ฉนวนไฟฟ้า ส่วนประกอบแผงวงจรพิมพ์ วงจรพิมพ์ หม้อแปลงไฟฟ้า ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์) สินค้าเกษตร (อาทิ ยางพารา) เม็ดพลาสติก
กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ผลกระทบกับการส่งออกไทยโดยตรงมีค่อนข้างจำกัด แต่ไทยจะได้รับผลกระทบจากมูลค่าการค้าโลกที่ลดลงจากสงครามการค้า ทั้งนี้ ในระยะข้างหน้า จะต้องจับตาดูนโยบายทางการค้าของสหรัฐฯ เพิ่มเติม โดยหากไทยโดนมาตรการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าโดยตรง จากประเด็นการเกินดุลทางการค้ากับสหรัฐฯ ก็น่าจะทำให้การส่งออกไทยมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัว โดยปัจจุบัน BLS ประเมินว่า การส่งออกไทยในปี 2025 น่าจะโตราว 1.8% YoY (กรณีฐาน) ชะลอลงจากปี 2024 ที่ขยายตัว 5.4% YoY และหากมาตรการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ เข้มข้นมากขึ้น ก็น่าจะส่งผลให้การส่งออกไทยชะลอตัวลงมากกว่าที่คาด
อุตสาหกรรมที่พึ่งพิงกำลังซื้อของคนในประเทศ (อาทิ เสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่ม ผลิตภัณฑ์พลาสติก ของใช้ในครัวเรือน ของใช้เบ็ดเตล็ดต่างๆ) จากแรงกดดันของการแข่งขันด้านราคากับสินค้าจีนราคาถูกที่น่าจะไหลทะลักเข้ามาในกลุ่มประเทศอาเซียนเพิ่มขึ้น รวมถึงไทย จากการเลี่ยงการส่งออกสินค้าจีนไปยังสหรัฐฯ และประเด็น Overcapacity ในจีนที่ยังมีต่อเนื่อง
สำหรับผลกระทบในด้านอื่นๆ ของไทย ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อและนักท่องเที่ยวต่างชาติ เรายังประเมินว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ระลอกนี้มากนัก โดยคาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปน่าจะขยายตัวอยู่ที่ 0.8% (กรณีฐาน) ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะอยู่ที่ 38 ล้านคน (กรณีฐาน)
สำหรับผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน คาดผลกระทบจำกัด
เบื้องต้นอาจมีผลกระทบทางตรงต่อหุ้นกลุ่มส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ (ส่งออกไปแม็กซิโก) กลุ่มส่งออกอาหาร (ส่งออกไปแคนาดา) และส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต้นน้ำ (ส่งออกไปจีน) และอาจกระทบกับอุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมในประเทศ โดยอาจจะมีสินค้าส่วนเกินจากจีนไหลทะลักเข้ามาไทยมากขึ้น และผู้ประกอบการไทยอาจจะต้องเผชิญการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง และค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง โดยอาจจะกระทบภาพกำไรของกลุ่มค้าปลีกวัสดุก่อสร้างจากราคาเหล็กที่ลดลง อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมที่ได้รับผลประโยชน์ ได้แก่ นิคมฯ/โรงไฟฟ้า การย้ายฐานการผลิตจากจีนมาที่ไทยเพื่อลดผลกระทบจากภาษีที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดความต้องการพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมและความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากสงครามการค้ากระทบเศรษฐกิจโลกและความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมลดลง ก็อาจส่งผลลบได้เช่นกัน ธุรกิจถุงมือยางฯ ไทยมีโอกาสส่งออกไปยังสหรัฐฯ มากขึ้น และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ปลายน้ำ คาดเห็นยอดสั่งซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น เช่น DELTA อาจได้รับยอดซื้อผลิตภัณฑ์เพาเวอร์ซัพพลายเพิ่มขึ้น CCET อาจได้รับยอดสั่งซื้อฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ (Hard Disk Drives: HDD) เพิ่มขึ้น จากการกระจายความเสี่ยงของลูกค้าออกจากจีน อย่างไรก็ดี หากเศรษฐกิจโลกโดยรวมชะลอตัวลง อาจหักกลบผลกระทบเชิงบวกได้
แต่อาจมีผลกระทบทางอ้อมหากสงครามการค้ากระทบกับเศรษฐกิจโลกโดยรวม คาดจะกระทบกับอุตสาหกรรมที่เชื่อมกับเศรษฐกิจโลก เช่น กลุ่มพลังงาน ปิโตรฯ ยานยนต์ แพ็คเกจจิ้ง เป็นต้น
แนวโน้มตลาดหุ้นไทย
พิริยพล คงวาณิช ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์พื้นฐานสายงานวิจัย บล.บัวหลวง เปิดเผยว่า คาดระยะสั้นมีโอกาส oversold rebound ได้หลังปรับตัวลงมาแรง กอปรกับ Valuations ไม่แพง ซื้อขายที่ 24E PER 15.3 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย -0.6SD) แต่ภาพรวมยังคาดผันผวน ปัจจัยสำคัญนอกจากสงครามการค้ายังคงเป็นผลประกอบการไตรมาส 4Q24 แม้กำไรสุทธิรวมกลุ่มธนาคารไตรมาส 4/67 ดีกว่าตลาดคาด 8% หนุนจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น (หลักๆ จากกำไรจากการลงทุนในหลักทรัพย์และรายได้จากค่าธรรมเนียม) และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและการตั้งสำรองที่ลดลงหนุนกลุ่มธนาคาร ทำให้เราคาดกำไรไตรมาส 4Q24 ออกมาโตทั้ง YoY และ QoQ แต่ประเมินยังมีความเสี่ยงที่กำไร หลังเห็นการปรับประมาณการณ์กำไรลงอย่างต่อเนื่องเดือนม.ค. ปรับลงราว 1.1% หลักๆ จากกลุ่มแพ็คเกจจิ้ง กลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มปิโตรฯ กลุ่มอสังหาฯ กลุ่มอิเล็กทรนิกส์ แรงขาย LTF (ยอดพร้อมขายสิ้นปี 2024 ราว 2.3 แสนล้านบาท) เดือนม.ค. คาดขายราว 1.5-2 หมื่นล้านสูงกว่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง (ปี 2022-2024) กว่า 2 เท่า และอาจเห็นแรงขายกดดันตลาดต่อเนื่อง
ความกังวลผลกระทบจากมาตรการ Global minimum tax ที่อาจกระทบกำไรของ SET เบื้องต้น คาดกระทบกำไร SET ราว 0.7% ของ SET กระทบกลุ่มส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มส่งออกอาหาร ความกังวลผลกระทบจาก Copayment จะเริ่มใช้กับประกันสุขภาพที่เริ่มซื้อหรือมีผลตั้งแต่เดือน มี.ค. 25 เป็นต้นไป กดดันกลุ่มโรงพยาบาล ตัวเลขยอดจองซื้ออสังหาฯ ไตรมาส 4/24 อ่อนแอทั้งแนวราบ และคอนโด และเริ่มเห็นการแข่งขันทางด้านราคาที่รุนแรงขึ้นเป็น downside ต่อกำไร กดดันหุ้นกลุ่มอสังหาฯ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่อง จากต้นปีขายแล้วราว 1.1 หมื่นล้านบาท (1.48 แสนล้านบาทในปี 2024) ความเสี่ยงสำคัญจากนโยบายภาษีของ Trump คาดยังเป็นความเสี่ยงต่อเนื่อง เนื่องจากไทยได้ดุลการค้ากับสหรัฐมากเป็นอันดับ 10 ในช่วง 11 เดือนแรกของปี
ทั้งนี้ ปัจจัยบวกที่อาจหนุนตลาดหุ้นไทยได้บ้าง ได้แก่ มาตรการภาครัฐฯ โครงการแจกเงินหมื่นและโครงการ Easy E-receipt หนุนการบริโภคในประเทศ ประเมินแนวโน้ม GDP ไตรมาส 4Q24 ของไทยคาด +3.6%YoY, +0.4% QoQ,sa หนุนจากการส่งออก/การท่องเที่ยวและการเร่งตัวของการเบิกจายภาครัฐ นอกจากนี้ ความขัดแย้งในตะวันออกกลางเริ่มเห้นสัญญาณชะลอความรุนแรง และคาดเห็นการการลดดอกเบี้ยของ Fed (ลดเหลือ 4% ภายใน 1H24) และกนง. (ลดเหลือ 1.75% ภายใน 1H24) อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในกรณีฐาน (Base case) สงครามการค้าไม่รุนแรงบานปลาย คาด SET index target ปี 2024 ที่ 1485 กำไรปี 2568 ที่ 95 (คาด EPS เติบโต 9% จากคาดกำไรปี 2567 ที่ 87) อ้างอิง PER ที่ 15.7เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว 0.5SD) ประเมินแนวรับบริเวณ 1270-1300
ในกรณีเลวร้าย (Worst case) อ้างอิง EPS ของ SET ในปี 2019 อยู่ที่ 87 (-9% จากปี 2018) หากอิง PER ที่ 14.3 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว -1.0SD) จะได้กรอบของ SET อยู่ที่ 1245
ทั้งนี้ ปี 2018-2019 แรงขายต่างชาติ Net flow ต่างชาติขายสุทธิ 3.3 แสนล้าน (2.9 แสนล้านในปี 2018 และ 4 หมื่นล้านในปี 2019) กลุ่มอุตสาหกรรมที่สัดส่วนถือครองต่างชาติลดลงสูงสุด ได้แก่ ปิโตร ธนาคาร พลังงาน ท่องเที่ยว อิเล็กทรอนิกส์ ในขณะที่กลุ่มที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ การแพทย์ และอาหารและเครื่องดื่ม
ในแง่ของทิศทางปรับประมาณการณ์กำไรช่วงปี 2018-2019 SET EPS ถูกปรับประมาณการณ์ลงราว 27% (เทียบปัจจุบัน 2024-2025 YTD ที่ 9%) กลุ่มที่โดนปรับแรงสุด ได้แก่ ปิโตร อิเลกทรอนิกส์ ท่องเที่ยว รับเหมาฯ ในขณะที่กลุ่มที่โดนปรับลงน้อย ได้แก่ กลุ่มสื่อสาร
สำหรับราคาน้ำมัน (Brent) ปรับตัวลงแรงสุดราว 41% ช่วงเดือนก.ย. 2018-ธ.ค. 2018 หลังเริ่มเห็นผลกระทบจากสงครามการค้าตั้งแต่ครึ่งหลังปี 2018 ก่อนราคาเริ่มฟื้นตัวจากความคาดหวังการเจรจาสงครามการค้า (2018-2019 ปรับตัวลดลงทั้งสิ้น 1%)
สำหรับ bond yield 10 ปี ของสหรัฐฯ และไทยปรับตัวลดลงทั้งคู่จากความเสี่ยงเศรษฐกิจชะลอตัวและการเริ่มลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางฯ เงินเฟ้อไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างที่ตลาดคาด
สำหรับค่าเงินบาท เริ่มอ่อนค่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2018 จากความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นหนุนเม็ดเงินไหลเข้าค่าเงินของประเทศขนาดใหญ่อย่างดอลลาห์สหรัฐฯ อย่างไรก็ดี หลังเริ่มเห็นผลกระทบของสงครามการค้า กอปรกับอัตราเงินเฟ้อไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างที่ตลาดคาด ทำให้ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real rate differential ของ US vs Thai) เริ่มแคบลง และค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าอย่างมากหลังจากนั้น สรุป หุ้นกลุ่มที่น่าจะได้ประโยชน์ ได้แก่ นิคมฯ/โรงไฟฟ้า สื่อสาร การแพทย์ อาหารและเครื่องดื่ม