ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังน่าสนใจลงทุนหรือไม่

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังน่าสนใจลงทุนหรือไม่

นับตั้งแต่ต้นปี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ นำโดยดัชนี Nasdaq และ SP500 ให้ผลตอบแทนที่มากกว่า (Outperform) ดัชนีตลาดหุ้นโลก (MSCI World)

ขณะที่เงินดอลลาร์ก็แข็งค่ามากขึ้นด้วยเช่นกัน แต่เดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ปรับลดลงอย่างมาก นำโดยหุ้นกลุ่ม Healthcare, Consumer discretionary, Energy และ Technology ตามการปรับเพิ่มขึ้นของ Bond Yield ของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดย 10Y UST Yield แตะระดับ 5% เมื่อเดือน ต.ค. จึงเกิดคำถามตามมาว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังน่าสนใจในการลงทุนอยู่หรือไม่?

SCB CIO มีมุมมองเชิงบวก (Slightly Positive) ต่อการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจาก เรามองว่า

  1. เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะเกิด “Soft Landing” มากกว่า เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession)

โดยตั้งแต่ช่วงต้นปี 2023 จนถึงปัจจุบัน เศรษฐกิจสหรัฐฯ ค่อนข้างแข็งแกร่งกว่าที่ตลาดคาดมาก  GDP ของสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 3 ขยายตัวสูงถึง 4.9% ตลาดแรงงานเริ่มลดความร้อนแรงลง แต่ยังสนับสนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนไตรมาสที่ 4 GDP สหรัฐฯ มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง เนื่องจาก 1) การกลับมาเรียกชำระ Student loan (หนี้ กยศ.) อีกครั้งในวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งจะกระทบการใช้จ่ายของชาวอเมริกันราว 45 ล้านคน (ประมาณ 14% ของประชากรทั้งหมด) 2) การประท้วงหยุดงานของสหภาพแรงงานยานยนต์สหรัฐฯ (United Auto Workers หรือ UAW) ที่ยืดเยื้อจะกระทบภาคการผลิตและการบริโภค และ 3) ต้นทุนการเงินที่เพิ่มสูงขึ้น (10Y UST Yield เพิ่มขึ้น จาก 3.87% สิ้นปี 2022 แตะระดับ 5% ในเดือน ต.ค. 2023) เริ่มส่งแรงกดดันเข้าสู่ภาคการบริโภค (เช่น ดอกเบี้ยกู้ยืมเพื่อซื้อบ้านแตะระดับ 8% / การผิดนัดชำระหนี้บัตรเครดิต และหนี้ผ่อนรถยนต์ที่เร่งตัวสูงขึ้น) นอกจากนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2024 ก็มีแนวโน้มชะลอตัวลงแบบ Soft landing เช่นกัน สอดคล้องกับการคาดการณ์ของที่ประชุม Fed รอบที่ผ่านมา ซึ่งมองว่า GDP ในปี 2024 จะขยายตัว 1.5% ชะลอลงจากในปี 2023 ที่ขยายตัว 2.1%

 

  1. อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มทยอยปรับลดลง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ เข้าสู่ปลายวัฏจักรขาขึ้นแล้ว

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานสหรัฐฯ ในเดือน ก.ย.ขยายตัว 3.7%YoY และ 4.1%YoY ตามลำดับ สอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์ โดย อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ที่มาจากราคาสินค้าปรับลดลง ขณะที่ภาคบริการ ได้แก่ เงินเฟ้อที่อยู่อาศัย เช่น ค่าเช่า และ Owners Equivalent Rent (OER) ยังขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ดี เรามองว่า ค่าเช่าและราคาที่อยู่อาศัย มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงตามกิจกรรมตลาดบ้านที่ถูกกดดันจากดอกเบี้ยที่ยังอยู่สูง นอกจากนี้ การที่ตลาดแรงงานตึงตัวลดลง ได้ส่งผลให้ค่าจ้างแรงงานเติบโตลดลง (Wage growth ปรับลดลงจากระดับสูงสุดที่ 8% YoY สู่ระดับ 4.2% ในเดือนก.ย.)

ด้วยแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่บรรเทาลง ประกอบกับความตึงตัวของสภาวะทางการเงิน (Financial Condition) ที่เพิ่มสูงขึ้น อันเป็นผลจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed ช่วงที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนผ่านการปรับเพิ่มขึ้นของ 10Y UST Yield และการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ สรอ. ได้ช่วยลดแรงกดดันต่อความจำเป็นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed  โดย SCB CIO คาดว่า Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ 5.25%-5.50% ยาวไปจนถึงปลายไตรมาส 3 ปี 2024 (Higher for Longer) ก่อนทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอยู่ที่ 4.75% ณ สิ้นปี 2024

  1. กำไรของบริษัทจดทะเบียนของสหรัฐฯ มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นใน 3Q2023 เป็นต้นไป 

ผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในดัชนี S&P500 ที่ประกาศออกมาประมาณ 58% ของทั้งหมด พบว่า มี บจ.79% มีกำไรดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ โดย Earning Surprise อยู่ที่ 7.8%  และมี  46% ของบจ.ที่ทำรายได้ดีกว่าคาดการณ์ โดย Sale Surprise อยู่ที่ 1.1% สำหรับอัตราการเติบโตของผลกำไรรวม อยู่ที่ 7.8%YoY กลับมาเป็นบวกครั้งแรกนับตั้งแต่ ไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ 8 ใน 11 กลุ่มอุตสาหกรรม รายงานผลกำไรเป็นบวกเมื่อเทียบกับปีก่อน นำโดยกลุ่ม Consumer Discretionary, Communication Service และ Information Technology ในขณะที่กลุ่มที่รายงานผลประกอบการเป็นลบ ได้แก่ กลุ่ม Energy, Healthcare และ Material ส่วนกลุ่ม Big Tech (Alphabet, Google, Amazon, Meta, Netflix และ Microsoft) ส่วนใหญ่มีผลประกอบการที่ดีกว่าคาด ทั้งนี้ เราคาดว่า กำไรของบจ.ในดัชนี SP500 ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงไตรมาส 2 และมีแนวโน้มขยายตัวเป็นบวกตั้งแต่ไตรมาส  3 เป็นต้นไป ส่วนนักวิเคราะห์ในตลาดคาดการณ์ว่า กำไร บจ.ในดัชนี S&P500 ปี 2024 ยังมีแนวโน้มเติบโต อยู่ที่ประมาณ 11%  

  1. Valuation ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในระดับที่น่าสนใจเข้าลงทุน โดย 12M Forward P/E ของดัขนี S&P500 ซื้อขายอยู่ที่ระดับ 17.2x หรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี อยู่ที่ประมาณ -0.4 sd.
  2. กระแส AI ผลักดันให้ผลิตภาพทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น และส่งผลดีกับหุ้นกลุ่ม Technology

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นเทคโนโลยีที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วและส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนของโลก รวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯ กระแส AI กำลังผลักดันให้ผลิตภาพทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ส่งผลดีกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีมูลค่าตลาดค่อนข้างมากในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดย AI ช่วยเพิ่มผลิตภาพทางเศรษฐกิจได้หลายวิธี เช่น เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของธุรกิจ (เช่น การใช้หุ่นยนต์อัตโนมัติในโรงงาน) การใช้ระบบ AI วิเคราะห์ข้อมูล หรือปรับปรุงกระบวนการทำงาน ซึ่งจะช่วยประหยัดต้นทุนและเพิ่มกำไรให้ธุรกิจได้

สำหรับ ประเด็นความเสี่ยงที่กระทบตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ต้องระมัดระวัง ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงยาวนานขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนภาคการผลิตและบริโภคของสหรัฐฯ สูงขึ้น อย่างไรก็ดี เรามองว่า บจ.ส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับที่จัดการความเสี่ยงจากต้นทุนที่สูงขึ้นได้ และ บริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ได้ปรับตัวรับอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น นับตั้งแต่ต้นปีแล้ว มีการปรับลดต้นทุน และพยายามสร้างผลตอบแทนจากเงินสดให้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ความเสี่ยงจากสงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาส ที่ยังสร้างความผันผวนให้ตลาดการเงิน ทำให้นักลงทุนอาจลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงรวมทั้ง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพื่อไปถือสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ และพันธบัตรเพิ่มขึ้นได้