CPN กำไรปี65 โต 51% และเปิดขายหุ้นที่ซื้อคืน 17.15 ล้านหุ้น 10 มี.ค. - 4 ก.ย. นี้

CPN กำไรปี65 โต 51% และเปิดขายหุ้นที่ซื้อคืน 17.15 ล้านหุ้น 10 มี.ค. - 4 ก.ย. นี้

"เซ็นทรัลพัฒนา" เผยกำไรปี 65 โต 51% ที่ 10,760 ล้าน หลังโกยรายได้ทะลุเป้า พร้อมเปิดโครงการขายหุ้นที่ซื้อคืน 17.15 ล้านหุ้น ช่วง 10 มี.ค. - 4 ก.ย. 66 และเดินหน้าแผน 5 ปี พัฒนา ‘Retail-Led Mixed-Use Development’ และเตรียม จ่ายปันผล 1.15 บาทต่อหุ้น ขึ้น XD 8 มี.ค.66

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN  แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ผลดำเนินงานปี 65 มีกำไรสุทธิ 10,759.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 7,148.45 ล้านบาท

พร้อมกันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการ ยังได้อนุมัติโครงการจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัทฯ เพื่อการบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) เป็นจำนวนทั้งสิ้น17,153,300 หุ้น คิดเป็น 0.38% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ โดยจะเป็นการจำหน่ายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และมีกำหนดระยะเวลาจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนนับตั้งแต่ วันที่ 10 มี.ค.-4 ก.ย. 66 

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ยังอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานประจำปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 1.15 บาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 8 มี.ค.66 ซึ่งจะจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 17 พ.ค.66

ขณะที่ผลการดำเนินงานในปี 2565 บริษัทมีรายได้รวม 37,155 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากปีก่อน ผลประกอบการประจำปี 65 ของบริษัทฯ ฟื้นตัวดีต่อเนื่องกลับมาสู่ระดับใกล้เคียงกับปี 62 ก่อนเกิดวิกฤตโควิด

ด้วยปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทย การจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในช่วงปลายปีที่กลับมาคึกคัก และตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมาตรการช่วยเหลือและกระตุ้นการจับจ่ายของทั้งภาครัฐและเอกชน อีกทั้งบริษัทฯ ยังคงบริหารจัดการต้นทุน ค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไรสูงสุดอีกด้วย

นอกจากนี้บริษัทฯ ได้เดินหน้าขยายธุรกิจในรูปแบบ “Retail-Led Mixed-Use Development” ได้สำเร็จตามแผน โดยในไตรมาส 4/65 ได้เปิดตัวโครงการใหม่ ได้แก่ โรงแรม GO! Hotel บ่อวิน ชลบุรี Premium Budget Hotel ด้วยมาตรฐานความสะดวกสบายครบครัน และบริการที่ได้มาตรฐานในราคาคุ้มค่า

รวมทั้งเปิดขายโครงการที่อยู่อาศัย 5 โครงการ ได้แก่ คอนโดแนวสูง ESCENT VILLE ฉะเชิงเทรา สุพรรณบุรี และ ESCENT ตรัง และโครงการบ้านเดี่ยว 2 โครงการ คือ NIRATI เชียงใหม่ และ NINYA ราชพฤกษ์ อีกทั้งเปิดให้บริการ ‘at work’ ที่อาคารเซ็นทรัลเวิลด์ ออฟฟิศ ซึ่งเป็นพื้นที่ flex space for work and lifestyle purposes ที่อำนวยความสะดวกสำหรับการทำงานครบครัน พร้อมพื้นที่อเนกประสงค์สำหรับจัดงานอีเว้นต์ทุกรูปแบบ

สำหรับปี 2566 บริษัทเตรียมเปิด ‘เซ็นทรัล เวสต์วิลล์’ มูลค่ารวมกว่า 6,200 ล้านบาท ในไตรมาส 4/66 ต่อยอดความสำเร็จของโครงการรูปแบบ Semi-Outdoor ที่ผสมผสานพื้นที่สีเขียวเข้ากับศูนย์การค้า พลิกโฉมย่านราชพฤกษ์ ปั้นสู่ย่าน Upper-Class Lifestyle ของกรุงเทพฯ ตะวันตก เ และคอมมูนิตี้มอลล์ ‘Marché Thonglor’ (Market Place Thonglor เดิม) เปิดให้บริการในเดือน มี.ค.66 นอกจากนี้ ยังมีอีก 2 โครงการมิกซ์ยูสโมเดลใหม่ ‘เซ็นทรัล นครสวรรค์’ และ ‘เซ็นทรัล นครปฐม’ รวมมูลค่า 14,000 ล้านบาท ที่จะเปิดให้บริการประมาณ ไตรมาส 1-2 ปี 67 โดยตั้งเป้าให้ทั้ง 2 โครงการ ปั้นเมืองศักยภาพแห่งใหม่ ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน พร้อมทั้งพาคู่ค้าเติบโตขยายสาขาไปทั่วประเทศ

ทั้งนี้ในปี 2566 บริษัทฯ อยู่ในระหว่างการศึกษาการให้เช่าสินทรัพย์เพิ่มเติมแก่กองทรัสต์ CPNREIT ซึ่งบริษัทฯ วางแผนที่จะดำเนินการในครึ่งหลังของปี 66 

ปัจจุบัน CPN บริหารจัดการศูนย์การค้ารวมทั้งหมด 39 โครงการ ได้แก่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล 37 แห่ง (ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 15 โครงการ ต่างจังหวัด 21 โครงการ และในมาเลเซีย 1 โครงการ) ศูนย์การค้าเอสพลานาด 1 แห่ง และศูนย์การค้าเมกา บางนา (ภายใต้กิจการร่วมค้าอีก 1 แห่ง) และคอมมูนิตี้ มอลล์ 17 โครงการ มีพื้นที่ให้เช่าสุทธิรวม 2.3 ล้านตารางเมตร นอกจากนี้ ยังบริหารศูนย์อาหาร 33 แห่ง อาคารสำนักงาน 10 อาคาร โรงแรม 4 แห่ง โครงการที่พักอาศัย 28 โครงการ นอกจากนี้ ยังมีโครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” big project ที่ร่วมพัฒนากับบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT ซึ่งจะทยอยเปิดให้บริการในปี 67 เป็นต้นไป

สำหรับทิศทางธุรกิจในระยะ 5 ปี (ปี 65-69) บริษัทฯ เดินหน้าลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ทั้งที่ประกาศไปแล้วและยังไม่ได้ประกาศ ซึ่งมีทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสม (Retail-Led Mixed-use Development) โครงการโรงแรมและที่พักอาศัย รวมถึงแผนการปรับปรุงสินทรัพย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อเพิ่มมูลค่า รวมทั้งบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและลดต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงิน เพื่อเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน

 

รวมทั้งยังคงศึกษาโอกาสการลงทุนธุรกิจในรูปแบบอื่น การเข้าซื้อกิจการ และการลงทุนในต่างประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ มาเลเซีย และเวียดนาม รวมถึงศึกษาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงเพื่อขยายช่องทางในการสร้างรายได้ใหม่และสอดคล้องกับแผนการเติบโตตามเป้าหมายในอนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน