บาทแข็ง‘โรงไฟฟ้า-การบิน’หนี้วูบ โบรกชี้ รับประโยชน์ทางตรง

บาทแข็ง‘โรงไฟฟ้า-การบิน’หนี้วูบ  โบรกชี้ รับประโยชน์ทางตรง

บล.เอเชียพลัส-บล.บัวหลวง” ชี้ตั้งแต่ต้นธ.ค. “เงินบาท” แข็งค่ากว่า 3.26% ทิ้งห่างเพื่อนบ้านแรงหนุน “หุ้นไทย” หลายกลุ่ม แนะเป้าหมาย “ฟันด์โฟลว์” กลับมาซื้อหุ้นใหญ่

KEY

POINTS

  • ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นส่งผลดีโดยตรงต่อกลุ่มโรงไฟฟ้าและสายการบิน เนื่องจากเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีหนี้สินในสกุลเงินต่างประเทศจำนวนมาก
  • การแข็งค่าของเงินบาททำให้ภาระหนี้สินของบริษัทเหล่านี้ลดลงเมื่อแปลงเป็นเงินบาท ส่งผลให้เกิดกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX Gain) ในทางบัญชี
  • กลุ่มสายการบินยังได้รับประโยชน์เพิ่มเติมจากต้นทุนการดำเนินงานที่ลดลง เช่น ค่าเชื้อเพลิงและค่าเช่าเครื่องบินที่ชำระเป็นสกุลเงินดอลลาร์

นับตั้งแต่ต้นเดือนธ.ค. ที่ผ่านมา “เงินบาทแข็งค่าขึ้น” อย่างรวดเร็ว และรุนแรงกว่า 3.26% ซึ่งดูเหมือนจะขัดแย้งกับปัจจัยพื้นฐานบางกลไกล อาทิ DOLLAR INDEX อ่อนค่าลงเพียง -1.20%, ฟันด์โฟลว์ต่างชาติไหลออกตราสารหนี้กว่า 1.5 หมื่นล้านบาท และค่าเงินบาทแข็งกว่าเพื่อนบ้านอย่างมีนัยสำคัญ ทิ้งห่างอันดับ 2 ในเชีย อย่างมาเลเซียที่แข็งค่าเพียง 1.14% เท่านั้น

นางสาวปวริศา เลิศกิจคุณานนท์ ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซียพลัส จำกัด เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเป็นตัวแปรสำคัญที่ต้องโฟกัสสำหรับการลงทุน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด นักลงทุนไทยที่ไปซื้อ S&P500 ผลตอบแทนหายไปมากเมื่อเทียบกับคนอเมริกันลงทุนเอง เพราะพอแลกกำไรกลับมาเป็นบาท ได้ผลตอบแทนน้อยลงจนถึงขั้นขาดทุนราว -2.7% (MTD)

ในทางกลับกันนักลงทุนสหรัฐที่มาลงหุ้นไทยได้กำไรดี (ทำไรหุ้น + กำไรค่าเงินแข็ง) ทำให้พอแลกกลับไปเป็นเงินดอลลาร์ ได้ผลตอบแทนมากขึ้นอยู่ที่ +4.2% (MTD) ซึ่งจริง ๆ แล้ว SET INDEX ปรับขึ้นเพียง +1.0% (MTD) เท่านั้น ดังนั้น นักลงทุนต้องไฟกัสค่าเงินบาทให้ดีสำหรับการลงทุนทั้งตลาดหุ้นไทยและสหรัฐ

บาทแข็ง‘โรงไฟฟ้า-การบิน’หนี้วูบ  โบรกชี้ รับประโยชน์ทางตรง

สำหรับ กลยุทธ์ลงทุนหุ้นไทยในช่วงนี้ เน้นหุ้นได้ประโยชน์จาก บาทแข็งค่า อาทิ กลุ่มโรงไฟฟ้าและสายการบิน ได้แก่ GULF, BGRIM, EGCO, PTT, AAV, BA เพราะว่ามีหนี้ต่างประเทศมาก ทำให้จ่ายหนี้ถูกลง และกลุ่มนำเข้า ได้แก่ TFG, TVO ที่มีต้นทุนน้ำเข้าวัตถุดิบถูกลง นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มเป้าหมายฟันด์โฟลว์ ได้แก่ KBANK, SCB, SCC, CPALL, ADVANC เพราะถ้าเงินบาทแข็งต่างชาติอาจสนใจกลับมาซื้อหุ้นใหญ่

นายพิริยพล คงวาณิช ผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์พื้นฐาน สายงานวิจัย บล. บัวหลวง เปิดเผยว่า ตามปกติหากเงินบาทแข็งค่า 1 บาท จะกดดันกำไรของ SET ราว 1% โดยมีกลุ่มที่เสียประโยชน์ กลุ่มส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ และส่งออกอาหาร แต่กลุ่มที่ได้ประโยชน์เชิงพื้นฐาน ได้แก่ 1. กลุ่มที่นำเข้าต้นทุนสกุลดอลล่าร์ เช่น สายการบิน (AAV) 2. กลุ่มที่มีหนี้สกุลต่างประเทศสูง เช่น โรงไฟฟ้า (GULF) พลังงาน 

 

ขณะเดียวกันยังมี กลุ่มที่ได้ประโยชน์ทางอ้อมจากบาทแข็งค่า มักจะหนุนแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติเข้า SET50 รอบนี้ มอง กลุ่มหุ้นปันผล ธนาคาร สื่อสาร หรือ กลุ่มท่องเที่ยว (AOT)

นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่ผลิตภัณฑ์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ค่าเงินบาทแข็งค่าจะทำให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าลดลง แต่สัดส่วนการนำเข้าของไทยในหลายหมวดไม่ได้มีผลกระทบเชิงโครงสร้างมากนักต่อเศรษฐกิจโดยรวม ดังนั้นมองว่าในมิติของการนำเข้าจึง “ไม่ใช่ตัวแปรหลัก” แต่ผลบวกที่ชัดเจนกลับอยู่ในมิติของค่าเงิน (FX Gain) คือ บริษัทที่มีหนี้สกุลเงินต่างประเทศ เช่น ดอลลาร์จะได้ประโยชน์ทันทีเมื่อเงินบาทแข็งค่า เพราะภาระหนี้ที่ต้องชำระลดลงในเชิงบัญชี ส่งผลกำไรสุทธิปรับตัวดีขึ้น

โดยมองกลุ่มที่ได้อานิสงส์ชัดเจนจากเงินบาทแข็ง คือ “กลุ่มน้ำมันและพลังงานรายใหญ่” ที่กู้เงินต่างประเทศเพื่อลงทุนโครงการจะเห็นต้นทุนหนี้ลดลง ต่อมา “กลุ่มโรงไฟฟ้า” จากหลายโครงการไฟฟ้าใช้เงินกู้สกุลต่างประเทศ การแข็งค่าของเงินบาทช่วยลดภาระดอกเบี้ยและเงินต้น และกลุ่มสุดท้าย คือ “กลุ่มสายการบิน” นอกจากหนี้สกุลต่างประเทศแล้ว ค่าเงินบาทแข็งยังช่วยลดต้นทุนเชื้อเพลิงและค่าเช่าเครื่องบินที่ชำระเป็นดอลลาร์

“แนะนักลงทุนจับตากลุ่มดังกล่าวเป็นพิเศษ เนื่องจาก FX Gain สามารถสร้างแรงหนุนต่อผลประกอบการในระยะสั้น แม้ปัจจัยพื้นฐานด้านรายได้จากการดำเนินงานยังต้องพึ่งพาอุปสงค์และราคาสินค้าโลก ได้แก่ พลังงาน PTT มีปันผล, โรงไฟฟ้า GULF BGRIM GPSC ,สายการบิน AAV และนำเข้า TVO SYNEX”

นายรัฐศักดิ์ พิริยะอนนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า เราประเมินทิศทางเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อในระยะสั้น มองแนวรับ 31.0 และ 30.6 บาทต่อดอลลาร์ตามลำดับ และกลุ่มพลังงาน โรงไฟฟ้า ขนส่ง และสายการบิน จะได้ประโยชน์จากบาทแข็งรอบนี้

ด้วยภาพรวมดัชนีตลาดหุ้นไทย แนะนักลงทุนสามารถเก็งกำไรซื้อขายในกรอบแกว่งตัวไซด์เวย์ (sideway) 1,250-1,280 จุด สำหรับกลุ่มหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากทิศทางเงินบาทแข็งค่ามากที่สุด โดยเฉพาะ BGRIM, CKP, AAV และ BA