‘วิทัย’ ผู้ว่าแบงก์ชาติ ชี้เก็งกำไรทองคำผ่านแอป ตัวเร่งเงินบาทแข็ง ไม่หนุน GDP ซ้ำกระทบผู้ส่งออก

‘วิทัย’ ผู้ว่าแบงก์ชาติ ชี้เก็งกำไรทองคำผ่านแอป ตัวเร่งเงินบาทแข็ง  ไม่หนุน GDP ซ้ำกระทบผู้ส่งออก

ผู้ว่าแบงก์ชาติชี้ เงินบาทแข็งค่า ไม่ได้มาจากปัจจัยพื้นฐานแต่มาจาก การเก็งกำไรทองคำ ผ่านแอปพลิเคชัน จากแรงขายดอลลาร์ ซื้อบาทเพื่อเทรดทอง กระทบต่อเสถียรภาพค่าเงิน -ผู้ส่งออก ไม่มีผลบวกต่อจีดีพี ล่าสุดออกประกาศตรวจเงินขาเข้าประเทศ หากเกิน 2แสนล้านดอลาร์

นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กล่าวว่า หากดูอัตราแลกเปลี่ยนในปัจจุบันที่ยังอยู่ระดับแข็งค่า จากการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกใหม่ พบว่าแรงกดดันสำคัญมาจาก การขายทองคำผ่านแอปพลิเคชันเป็นเงินบาท

โดยพบว่าเมื่อผู้ลงทุนหรือนักเก็งกำไรขายทองผ่านแอป ร้านทองจะต้องนำทองไปขายต่อในตลาดต่างประเทศเพื่อปิดความเสี่ยง (Square Position)ทำให้ได้รับเงินดอลลาร์ จากนั้นจึงนำดอลลาร์มาขายเพื่อซื้อเงินบาท ส่งผลให้เกิดแรงขายดอลลาร์จำนวนมาก และทำให้เงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็ว

เหล่านี้พิสูจน์ได้จากตัวเลขจริง โดยในช่วงที่เงินบาทแข็งค่าหนักตลอดปีที่ผ่านมา กระแสการขายดอลลาร์จากการขายทองคำผ่านแอป มีสัดส่วนสูงถึง 40-50% ของยอดขายดอลลาร์ทั้งประเทศในบางช่วง และในบางเดือน เช่น เดือนส.ค.สัดส่วนดังกล่าวพุ่งสูงถึง 60% ของยอดขายดอลลาร์ทั้งหมด มากกว่าการขายดอลลาร์จากภาคส่งออก หรือเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในตลาดทุน

การเก็งกำไรทองคำลักษณะนี้ ไม่ได้ช่วยให้เศรษฐกิจเติบโต ไม่ได้เพิ่ม GDP แต่กลับสร้างผลเสียต่อผู้ส่งออก และทำให้ค่าเงินบาทขาดเสถียรภาพ”

ทั้งนี้ หากดูธุรกิจค้าทองคำในไทยแทบไม่มีกรอบกำกับดูแล และธปท. อยู่ระหว่างการขออำนาจแก้ประกาศกระทรวงการคลัง เพื่อเข้ามาดูแล ธุรกรรมซื้อขายทองคำที่ส่งผลถึงอัตราแลกเปลี่ยน ภายใต้ พ.ร.บ.เงินตราต่างประเทศ

มาตรการนี้ ยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับการซื้อขายทองตามร้านทั่วไป และไม่กระทบการซื้อขายรายย่อยในแอป แต่จะมุ่งไปที่นักเก็งกำไรรายใหญ่ที่เทรดจำนวนมากและถี่ รวมถึงร้านทองรายใหญ่ที่มีแอปออนไลน์ประมาณ 5-15 ราย ซึ่งต้องร่วมกันปรับตัว ทั้งนี้ คาดว่ามาตรการต่างๆจะมีความชัดเจนได้ภายในกลางเดือนม.ค. 

อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าแบงก์ชาติไม่ได้ตั้งเป้าว่ามาตรการนี้จะทำให้เงินบาทอยู่ระดับใด แต่เป้าหมายคือ ลดความผันผวน และลดแรงกดดันจากธุรกรรมที่ไม่ก่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจจริง

สำหรับปัจจัยหลักๆที่เป็นแรงผลักดันให้เงินบาทแข็งค่ามาจาก 3 ปัจจัยสำคัญ  ปัจจัยแรกคือ ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental) เช่น การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในปีนี้อ่อนค่าลงราว 10% รวมถึงดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่ออกมาดีกว่าที่คาด ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นฐานที่ทำให้เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าอยู่แล้ว

ปัจจัยที่สองคือ กระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (Flow) โดยเฉพาะเงินทุนจากนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในตลาดทุนไทย ทั้งตลาดหุ้นและตราสารหนี้ ซึ่งในภาพรวมไม่พบพฤติกรรมการเก็งกำไรค่าเงินแบบระยะสั้นเหมือนในอดีต แต่เป็นการลงทุนในตราสารระยะยาว อย่างไรก็ตาม เงินทุนลักษณะนี้ไม่สามารถปิดกั้นได้ เพราะจะกระทบต่อตลาดทุนโดยรวม
 

ปัจจัยที่สามคือ การแทรกแซงของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมีข้อจำกัดจากข้อตกลงที่ไทยลงนามกับรัฐบาลสหรัฐฯ ตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีทรัมป์วาระแรก ทำให้ไม่สามารถเข้าไปซื้อขายดอลลาร์เพื่อบิดเบือนหรือตรึงค่าเงินได้ ทำได้เพียงเพื่อลดความผันผวนเท่านั้น

โดยในช่วงครึ่งปีหลังที่ผ่านมา ธปท. ใช้มาตรการลดความผันผวนอย่างเข้มข้น แต่ไม่สามารถฝืนกลไกตลาดได้ทั้งหมด

วิทัยยังกล่าวอีกว่า  ตั้งแต่วิกฤตปี 2540 แบงก์ชาติให้ความสำคัญกับการตรวจสอบเงินทุนขาออกเป็นหลัก เพราะกังวลเรื่องเงินไหลออก แต่ในบริบทปัจจุบัน ค่าเงินบาทแข็งจากเงินทุนไหลเข้า จึงจำเป็นต้องปรับมาดูขาเข้า มากขึ้น

ล่าสุดได้มีการลงนามประกาศให้สามารถตรวจสอบเอกสารการนำเงินเข้าประเทศ เพื่อให้เห็นชัดว่าเงินเข้ามาจากไหน และมีวัตถุประสงค์อะไร

โดยครอบคลุมทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลในประเทศ กำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำที่ธุรกรรมตั้งแต่ 200,000 ดอลลาร์ขึ้นไป ซึ่งธุรกรรมปกติ เช่น คนทำงานต่างประเทศโอนเงินกลับ หรือการค้าขายที่มีเอกสารชัดเจน จะไม่ได้รับผลกระทบ และธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบตามมาตรฐานสากล