ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 26 ธ.ค.68 ‘ทรงตัว‘ ตลาดการเงินเบาบาง

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 26 ธ.ค.68 ‘ทรงตัว‘   ตลาดการเงินเบาบาง

ค่าเงินบาทวันนี้ 26 ธ.ค. 68 เปิดตลาด“ทรงตัว“ ที่ระดับ 31.07 บาทต่อดอลลาร์ “กรุงไทย“ ชี้หลังตลาดการเงินธุรกรรมเบาบาง มองกรอบเงินบาทวันนี้ 31.00-31.15 บาทต่อดอลลาร์

KEY

POINTS

  • ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ทรงตัวที่ระดับ 31.07 บาทต่อดอลลาร์ ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อนหน้า
  • ตลาดการเงินมีปริมาณธุรกรรมเบาบางเนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลคริสต์มาส ทำให้สินทรัพย์ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในกรอบแคบ
  • กรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระหว่าง 31.00-31.15 บาทต่อดอลลาร์
  • ราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า "ค่าเงินบาทวันนี้"เปิดเช้านี้ ที่ระดับ  31.07 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดของวันที่ผ่านมา มองกรอบเงินบาทวันนี้  คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.00-31.15 บาทดอลลาร์ 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน (แกว่งตัวในกรอบ 31.01-31.14 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับปริมาณการทำธุรกรรมในตลาดการเงินที่เบาบางลงในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ส่งผลให้สินทรัพย์ส่วนใหญ่ในตลาดการเงินเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways อย่างไรก็ดี ในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย ราคาทองคำ (XAUUSD) ทยอยปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 4,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง และพอช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นบ้างของเงินบาท 

แนวโน้มค่าเงินบาท 

แนวโน้มค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) จะยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น จนถึง ตลอดช่วงไตรมาสแรกของปี 2026 หลังโมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทนั้นยังมีกำลังอยู่ ทว่า ในช่วงระยะสั้นนี้ (จนถึงสิ้นปี 2025) การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจชะลอตัวลงบ้าง เนื่องจากผู้เล่นในตลาดอาจรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม อีกทั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ ก็ถือว่าเป็นช่วงหยุดยาวทำให้ปริมาณธุรกรรมในตลาดการเงินเบาบาง ทว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวัง ว่า เงินบาทเสี่ยงเคลื่อนไหว Two-way Risk หรือพร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง ได้พอสมควร หามีโฟลว์ธุรกรรมด้านใดด้านหนึ่งเข้ามากระทบตลาด โดยเฉพาะในช่วงวันทำการสุดท้ายของตลาดการเงินไทย 

และหากเงินบาทสามารถแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับสำคัญ 31.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้นั้น เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรเริ่มประเมินว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจชะลอตัวลงและมีแนวโน้มพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้ในระยะข้างหน้า โดยจากการประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของเงินบาท (Fair Value) จากโมเดล Behavioral Equilibrium Exchange Rate (BEER) ที่สะท้อนปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยเทียบกับฝั่งสหรัฐฯ และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาท (USDTHB) และดัชนีเงินบาทที่แท้จริง (Real Effective Exchange Rate REER) เราพบว่า Fair Value ของเงินบาทจะอยู่ในช่วง 33-34 บาทต่อดอลลาร์ (เฉลี่ยจากโมเดลของเราและของทาง Bloomberg Economics และ Fair Value ของ REER) ทำให้เงินบาทที่ระดับต่ำกว่า 30.75 บาทต่อดอลลาร์ ถือว่าเป็นระดับที่ Extremely Overvalued หรือเงินบาทแข็งค่าเกินไปมากอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเงินบาทจะมีแนวโน้มพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้ ในระยะ 3 เดือน และ 6 เดือน ข้างหน้า ทำให้เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทดังกล่าว หากเกิดขึ้นจริงจะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดสามารถทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์หรือเตรียมป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนในกรณีที่เงินบาทอาจพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 2 ซึ่งจากการประเมินด้วยปัจจัยต่างๆ ของเรา ดังที่ได้ระบุไว้ในบทวิเคราะห์ Global FX 2026 เราพบว่า เงินบาทเสี่ยงที่จะอ่อนค่ามากที่สุดในรอบปี 2026 ในช่วงดังกล่าว โดยอาจเห็นเงินบาทอ่อนค่าทดสอบโซน 32-33 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก สอดคล้องกับการประเมินความเป็นไปได้ของระดับการอ่อนค่าของเงินบาทในระยะ 6 เดือนข้างหน้า หากสามารถแข็งค่าขึ้นทะลุโซน 30.75 บาทต่อดอลลาร์ ได้ และยังสอดคล้องกับการประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่มีโอกาสเกิด 75% โดยอ้างอิงจากตลาด Options ซึ่งคำนวณโดยทาง Bloomberg

ในเชิงเทคนิคัลนั้น เรามองว่า หากประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น จนกว่าจะสามารถพลิกกลับมาอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 31.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน (เราจะปรับมุมมองต่อแนวโน้มเงินบาทใหม่ หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์ หรือโซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์) 

อนึ่ง เราขอเน้นย้ำว่า การจะเห็นเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้อย่างต่อเนื่องนั้น จะต้องเห็น 1. การปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดที่ชัดเจน ซึ่งต้องอาศัยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งและดีกว่าคาดมาก 2. การปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาทองคำ หรือ ราคาทองคำเข้าสู่ช่วงการพักฐานใหม่ นอกจากนี้ หากราคาทองคำเร่งตัวสูงขึ้น ก็สามารถกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้เช่นกัน ผ่านโฟลว์ธุรกรรมไล่ราคาซื้อทองคำ หรือ Fear of Missing Out Buying Flows (FOMO Buy) และ 3. ปัจจัยภายในประเทศ ซึ่งควรจะต้องเห็นความเสี่ยงที่รุนแรงต่อปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจ เช่น การท่องเที่ยว การส่งออก หรือปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ นักลงทุนต่างชาติแห่เทขายสินทรัพย์ไทย เช่น วิกฤตการเมือง (เรามองว่า ถ้าเป็นเพียงความวุ่นวายการเมืองอาจไม่ได้กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญได้)

เราประเมินว่า ความผันผวนของเงินบาทเสี่ยงที่จะสูงขึ้นและอย่างน้อยก็อยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Government Shutdown (ที่จะกลับมาอีกครั้งในช่วงต้นปี 2026) และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรวมมีแนวโน้มอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงต่อเนื่อง สะท้อนผ่านการปรับตัวขึ้นของบรรดาสัญญาฟิวเจอร์สดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะในฝั่งของสัญญาฟิวเจอร์สหุ้นเทคฯ ที่ปรับตัวขึ้นราว +0.19% 

ในส่วนตลาดบอนด์ เราประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways โดยมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นบ้าง ตราบใดที่บรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ซึ่งการปรับตัวสูงขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะเปิดโอกาสให้บรรดานักลงทุนสามารถทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวสหรัฐฯ ได้ โดยเราคงมุมมองเดิมว่า ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงเป็น 1. แนวโน้มดอกเบี้ยของเฟด (ซึ่งจะขึ้นกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ) 2. แนวโน้มฐานะการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ และ 3. บรรยากาศในตลาดการเงิน 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ (ประเมินจากดัชนี Bloomberg Dollar BBDXY) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แต่เริ่มมีแนวโน้มทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ในช่วงเช้าของตลาดการเงินฝั่งเอเชีย ท่ามกลางปริมาณการทำธุรกรรมในตลาดการเงินที่เบาบางช่วงปลายปี อีกทั้งผู้เล่นในตลาดต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (BBDXY) ทรงตัวแถวโซน 1,200 จุด (สะท้อนว่า ดัชนีเงินดอลลาร์ DXY ก็อาจแกว่งตัวแถวโซน 97.80-97.90 จุด)  ในส่วนของราคาทองคำ ช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย ราคาทองคำ (XAUUSD) ทยอยปรับตัวสูงขึ้นบ้างและสามารถทรงตัวเหนือโซน 4,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สอดคล้องกับจังหวะการย่อตัวลงของดัชนีเงินดอลลาร์ BBDXY ในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย  

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ เนื่องจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจจะมีไม่มาก ทำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังการเจรจาเพื่อยุติสงครามมีความคืบหน้ามากขึ้น รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับเวเนซุเอลา และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา