ปิดฉาก JKN 8 ปีใน ‘ตลาดหุ้น’ เหลือแค่ ‘ซาก’ หนึ่งบทเรียนความเสียหาย

แม้จะเข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการ แต่โอกาสกลับมาดำเนินธุรกิจแทบเป็นศูนย์ สร้างความเสียหายให้นักลงทุน และเจ้าหนี้จำนวนมาก
KEY
POINTS
- หุ้น JKN ถูกตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิกถอนออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนหลังเข้าตลาดมา 8 ปี เนื่องจากเปิดเผยข้อมูลงบการเงินปี 2566 เป็นเท็จ
- บริษัทเผชิญปัญหาสภาพคล่องรุนแรงจนผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ 7 รุ่น และผู้บริหารถูก ก.ล.ต. ดำเนินคดีฐานให้ข้อมูลเท็จและตกแต่งบัญชี
- แม้จะเข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการ แต่โอกาสกลับมาดำเนินธุรกิจแทบเป็นศูนย์ สร้างความเสียหายให้นักลงทุน และเจ้าหนี้จำนวนมาก
วันนี้ !! (26 ธ.ค.2568) ถือเป็นวันสุดท้ายที่ “นักลงทุน” จะสามารถซื้อขาย “หุ้น JKN” หรือ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ของ “แอน-จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์” ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ก่อนองค์กรแห่งนี้จะเหลือเพียงแค่ “ตำนาน” อื้อฉาวใน “ตลาดหุ้นไทย” เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศเพิกถอนการเป็นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จากเปิดเผยข้อมูลอันเป็นเท็จในงบการเงินปี 2566 ซึ่งอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสิทธิประโยชน์ของผู้ถือหุ้น
ก่อนจะถูกเพิกถอนอย่างเป็นทางการในวันที่ 27 ธ.ค.68 นี้ โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดให้ซื้อขายหุ้นครั้งสุดท้าย 7 วันทำการ ระหว่างวันที่ 18-26 ธ.ค.68 ซึ่งกำหนดให้ซื้อหุ้นด้วย “เงินสด” หรือ “บัญชีแคชบาลานซ์” นี่คือโอกาสสุดท้ายของนักลงทุนที่ถือหุ้น JKN จะสามารถปล่อยของออกมาได้ แม้จะ “เจ็บตัวหนัก” ก็คงต้องยอมยกธงขาวแล้ว ! ด้วยไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ “พลิกฟื้น” กลับมาได้
แม้ศาลล้มละลายกลาง เพิ่งมีคำสั่งเมื่อต้นเดือนธ.ค. แต่งตั้งบริษัท แกรนท์ ธอนตัน สเปเชียลิสท์ แอ็ดไวซอรี เซอร์วิสเซส จํากัด เป็นผู้ทําแผนฟื้นฟูกิจการของ JKN แต่โอกาสฟื้นฟูฯ JKN แทบ “เป็นศูนย์” ด้วยเพราะทรัพย์สินส่วนใหญ่ น่าจะถูก “ผู้ก่อตั้ง JKN” โยกย้ายถ่ายเทออกไปหมด !! องค์กรดังกล่าวอาจจะเหลือแค่ “ซาก” ตามกระแสข่าวที่ระบุว่า “อดีตผู้บริหาร JKN” หอบเงิน 6,000 ล้านบาท โบยบินออกนอกประเทศแล้ว พร้อมฝังกลบนักลงทุนรายย่อยนับ “หมื่นราย” และ “เจ้าหนี้หุ้นกู้” อีก 7 รุ่น ไว้เบื้องหลัง
หากย้อนกลับไปตั้งแต่วันแรกที่หุ้น JKN เข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เมื่อ 30 พ.ย.2560 หรือกว่า 8 ปีในตลาดหุ้น ด้วยเสนอขายหุ้นในราคา IPO หุ้นละ 8 บาท ซึ่งได้เงินระดมทุนไป 3,100 ล้านบาท ก่อนจะขยับเข้ามาอยู่ในตลาดใหญ่ (SET) ราคาหุ้น JKN เคยทำ “จุดสูงสุด” 16.27 บาท (5 ม.ค.2561)
ตลอด 8 ปี “แอน-จักรพงษ์” จะสร้างสตอรี่ให้หุ้น JKN เสมอๆ นอกจากผลงาน JKN ที่สร้าง “กำไรสุทธิ” มาตลอดนับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นปี 2560 เริ่มจากปี 2564 ก็เริ่มส่งสัญญาณให้ใครๆ ได้เริ่มเห็นบ้างแล้ว จากในช่วงนั้นรัฐบาลมีการปลดล็อกพืช “กัญชงกัญชา” ทำให้บริษัทใดที่ประกาศแผนธุรกิจว่าจะเข้าไปดำเนินธุรกิจดังกล่าว ราคาหุ้นตอบสนองเชิงบวกอย่างรุนแรง
ก่อน JKN จะโพสต์ผ่านโซเชียลมีเดียข้อความว่า “กัญชง+18=รวย” นัยที่ถูกซ่อนจากโพสต์นี้สื่อความหมายว่า JKN กำลังจะเข้าสู่ธุรกิจกัญชงกัญชา และกำลังจะเข้าซื้อ “ทีวีดิจิทัล”ช่อง 18 ของ “กลุ่มตระกูลเดลินิวส์” ต่อมาในช่วงต.ค.2565 JKN ได้อนุมัติเงินลงทุน 800 ล้านบาท เพื่อเข้าซื้อกิจการ Miss Universe Organization (MUO) อย่างเป็นทางการ
และนี่คือช่วงเวลา “ฮันนีมูน” กำลังจะจบลง หลังผลดำเนินงานปี 2566 ต้องรับรู้ผล “ขาดทุน” จากการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ และเงินลงทุน ซึ่งรวมกันมากกว่า 1 พันล้านบาท ซึ่ง JKN ต้องตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญสำหรับลูกหนี้การค้า เหตุลูกค้ากลุ่มธุรกิจสื่อดั้งเดิม ซึ่งเป็นลูกค้าหลักในการซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์ของ JKN ประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง ทำให้การเรียกเก็บหนี้ทำได้ยากขึ้น ซ้ำเติมด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคหันไปสู่ออนไลน์มากขึ้น และรายได้โฆษณาสื่อโทรทัศน์ดั้งเดิมลดลง
เมื่อสภาพคล่องธุรกิจเริ่ม “ตึงตัว” สถานการณ์ร้ายก็ลามสู่ “ตลาดหุ้นกู้” ที่ JKN เริ่มผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ มูลค่า 609 ล้านบาท ด้วย โดยเริ่มต้นจากหุ้นกู้รุ่น JKN239A ครบกำหนดชำระ 1 ก.ย.2566 และต่อมาก็ได้เกิดผิดนัดชำระต่อเนื่อง (Cross Default) หุ้นกู้อีก 6 รุ่น ประกอบด้วย JKN246A, JKN243A, JKN240A, JKN24NA, JKN252A และ JKN255A
ดังนั้น เมื่อผิดนัดชำระหุ้นกู้ไปแล้ว แน่นอนสภาพคล่อง JKN กำลังมีปัญหาแน่นอน “แอน-จักรพงษ์” ที่กำลังมืดแปดด้าน จึงใช้วิธีแอบขายหุ้น JKN Legacy บริษัทย่อยของ JKN ที่ถือลิขสิทธิ์ Miss Universe ให้กับบริษัทของ “ราอูล โรชา คานตู” เมื่อ 20 ต.ค.2566 แล้วค่อยมาเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวเมื่อ 22 ม.ค.2567
ทำให้ ก.ล.ต. ลงโทษทางแพ่งกับ JKN และ “แอน-จักรพงษ์” ฐานเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จ ระยะเวลาใกล้เคียงกันนั้น ก.ล.ต. ยังได้กล่าวโทษ JKN และ “แอน-จักรพงษ์” ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการตกแต่งงบการเงินปี 2566 โดยการแสดงยอดหนี้สิน และสินทรัพย์ที่ต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายหลักทรัพย์
นี่อาจไม่ใช่ผู้บริหาร บจ. รายแรกที่มีคดีฉาวแบบนี้เกิดขึ้น เพราะระยะหลังๆ แทบทุกปีมีผู้บริหารที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ “แอนจักรพงษ์” มานับไม่ถ้วนแล้ว ไม่แปลกที่นักลงทุนจะตั้งคำถามถึง ก.ล.ต. และ ตลท. ว่าจะยกระดับตลาดทุนไทยให้ดีขึ้นได้หรือยัง
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







