ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 22 ธ.ค.68 ‘แข็งค่า‘ หลังราคาทองหนุน

ค่าเงินบาทวันนี้ 22 ธ.ค. 68 เปิดตลาด“แข็งค่า“ ที่ระดับ 31.40 บาทต่อดอลลาร์ “กรุงไทย“ ชี้ ราคาทองหนุน มองกรอบเงินบาทวันนี้ 31.40-31.60 บาทต่อดอลลาร์
KEY
POINTS
- เงินบาทเปิดตลาดเช้าวันที่ 22 ธ.ค. 68 ที่ระดับ 31.40 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากสัปดาห์ก่อนหน้า
- ปัจจัยหลักที่หนุนให้เงินบาทแข็งค่ามาจากราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากความกังวลต่อนโยบายการเงินของญี่ปุ่น
- การแข็งค่าของเงินบาทถูกจำกัด เนื่องจากการอ่อนค่าของเงินเยนญี่ปุ่นได้ช่วยหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นด้วย
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า "ค่าเงินบาทวันนี้"เปิดเช้านี้ ที่ระดับ 31.40 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 31.47 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 31.20- 31.60 บาทต่อดอลลาร์ กรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.30-31.50 บาทต่อดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 31.39-31.49 บาทต่อดอลลาร์) โดยยังคงได้รับอานิสงส์จากธีม Japanese Yen Debasement หลังผู้เล่นในตลาดต่างยังคงกังวลต่อแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลญี่ปุ่นและแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) หลัง BOJ ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย พร้อมทั้งส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติมในอนาคต
ซึ่งภาพดังกล่าวได้ส่งผลให้ ผู้เล่นในตลาดต่างเลือกที่จะเข้าถือครองทองคำ หนุนให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) สามารถทยอยปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ทว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกจำกัด โดยการอ่อนค่าของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ได้หนุนให้ เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น
แนวโน้มค่าเงินบาท
แนวโน้มค่าเงินบาท ในช่วงที่เหลือของปี 2025 จนถึงช่วงไตรมาสแรกของปี 2026 เรายังคงประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) มีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Down ตามแรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานอย่างช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว ทว่าในช่วงระยะสั้นนั้น การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจชะลอลงบ้าง แม้เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนจากการทยอยปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำ และโฟลว์การท่องเที่ยวต่างชาติ ทว่า เงินดอลลาร์ก็สามารถทยอยแข็งค่าขึ้นได้ ตามการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ตั้งแต่การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ล่าสุด ซึ่งเรามองว่า เป็นการสะท้อนความกังวลเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลญี่ปุ่นและธีม Debasement ของค่าเงินเยนญี่ปุ่น และที่สำคัญ ช่วงปลายปี รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอาจมีไม่มากนักทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจเลือกชะลอการปรับสถานะถือครองที่ชัดเจน เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติมได้
และหากอ้างอิงกลยุทธ์ Trend-Following เราจะเริ่มมองว่า เงินบาทจะกลับเข้าสู่แนวโน้มอ่อนค่า อีกครั้ง หรืออย่างน้อยก็อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways เมื่อเงินบาทอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้าน 31.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน และอาจต้องปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มเงินบาทใหม่ หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุเหนือโซนเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์ (โซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์) ซึ่งเรามองว่า ภาพดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ ต้องเห็นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่ง ดีกว่าคาด จนทำให้ตลาดเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ตาม Dot Plot ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่ รวมถึงอาจต้องเห็นปัจจัยเสี่ยงภายในประเทศไทย ซึ่งอาจทำให้เกิดแรงขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติ พร้อมกับการปรับลดสถานะถือครองเงินบาทหรือสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) ของผู้เล่นในตลาด
ในส่วนของเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์เสี่ยงพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาด หรือในกรณีที่ ทางการญี่ปุ่นส่งสัญญาณพร้อมดูแลค่าเงินเยนญี่ปุ่นที่อ่อนค่าลงต่อเนื่องในช่วงนี้ โดยเฉพาะช่วงหลังการขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อ่อนค่าลงหนัก แม้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะขึ้นดอกเบี้ยและส่งสัญญาณพร้อมปรับขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติมในระยะข้างหน้า
สำหรับสัปดาห์นี้รวมถึงในช่วงระยะสั้น เราประเมินว่าควรระวังความผันผวนของตลาดการเงินที่อาจมาจากการเคลื่อนไหวของเงินเยนญี่ปุ่น ซึ่งต้องจับตา ท่าทีของทางการญี่ปุ่น หลังเงินเยนญี่ปุ่นอ่อนค่าต่อเนื่องในช่วงนี้
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานข้อมูล อย่าง อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) เดือนตุลาคม ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนพฤศจิกายน และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) ในเดือนธันวาคม ซึ่งผู้เล่นในตลาดจะให้ความสำคัญกับรายงานข้อมูลการจ้างงานในดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคดังกล่าว เพื่อประกอบการประเมินภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ และแนวโน้มในระยะข้างหน้า ควบคู่กับรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) หลังเฟดยังคงให้ความสำคัญกับตลาดแรงงานสหรัฐฯ พอสมควร อีกทั้ง ภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ก็มีผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด มากกว่าปัจจัยอื่นๆ พอสมควร
▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB พร้อมทั้ง รอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังการเจรจาเพื่อยุติสงครามมีความคืบหน้ามากขึ้น
▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของญี่ปุ่น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้ อาทิ อัตราเงินเฟ้อ CPI ของกรุงโตเกียว ในเดือนธันวาคม ยอดค้าปลีก (Retail Sales) และข้อมูลตลาดแรงงานในเดือนพฤศจิกายน เป็นต้น ทางฝั่งจีน นักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ธนาคารกลางจีน (PBOC) อาจประกาศคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกหนี้ชั้นดี (Loan Prime Rate) ประเภท 1 ปี และ 5 ปี ไว้ที่ระดับ 3.00% และ 3.50% ตามลำดับ ทว่า ทาง PBOC อาจเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย LPR ปรับตัวลดลงได้ในปี 2026 หากเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวได้แย่กว่าคาด
▪ ฝั่งไทย – บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ยอดการส่งออก (Exports) ของไทยในเดือนพฤศจิกายน อาจขยายตัวราว +9%y/y ตามอานิสงส์ของการส่งออกสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ตามกระแสการลงทุนในธีม AI และความต้องการสินค้าในช่วงเทศกาล ส่วนยอดการนำเข้า (Imports) ขยายตัวราว +14% ส่งผลให้โดยรวมดุลการค้า (Trade Balance) อาจยังคงขาดดุลราว -1.3 พันล้านดอลลาร์







