ผ่าแผน ‘ธปท.‘ ลุยปราบ ‘ทุนเทา’ คุมเข้ม ‘ร้านทอง-ร้านแลกเงิน’ โยงเงินบาทแข็งค่า

ผ่าแผน ‘ธปท.‘ ลุยปราบ ‘ทุนเทา’ คุมเข้ม ‘ร้านทอง-ร้านแลกเงิน’ โยงเงินบาทแข็งค่า

ธปท. เตรียมใช้กฎหมายสถาบันการเงิน “ปราบทุนเทา” รวมถึงธุรกรรมผิดปกติครั้งแรก เตรียมให้ธนาคารรายงานธุรกรรมต้องสงสัยโดยตรง เร่งปิดจุดอ่อน “ร้านทอง-ร้านแลกเงิน” สกัดเงินบาทแข็งค่า เผยอยู่ระหว่างตั้งกองทุนค้ำประกัน เอสเอ็มอี “2 หมื่นล้าน” เอื้อปล่อยกู้เอสเอ็มอีแสนล้านบาท ลดปัญหาสินเชื่อหดตัวต่อเนื่อง 13 ไตรมาส

KEY

POINTS

  • ธปท. เดินหน้าปราบปราม "ทุนเทา" และเงินผิดกฎหมาย เนื่องจากปัจจุบันไม่มีข้อมูลธุรกรรมเหล่านี้ ซึ่งถูกมองว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า
  • เตรียมออกมาตรการใหม่ให้สถาบันการเงินต้องรายงาน "ธุรกรรมผิดปกติ" บางประเภทส่งตรงมายัง ธปท. เพิ่มเติมจากการรายงานให้ ปปง. เพื่อติดตามเส้นทางเงินได้โดยตรง
  • ขยายการกำกับดูแลให้เข้มงวดขึ้นกับผู้ให้บริการนอกภาคธนาคาร เช่น ร้านแลกเงิน, ผู้ให้บริการโอนเงิน และ e-Wallet โดยจะเน้นเรื่องการยืนยันตัวตน (KYC)
  • มุ่งเป้ากำกับดูแลธุรกิจ "ร้านทอง" ที่ปัจจุบันธุรกรรมส่วนใหญ่อยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์และส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาท แต่ ธปท. ยังไม่เห็นข้อมูลการซื้อขาย

ผ่าแผน ‘ธปท.‘ ลุยปราบ ‘ทุนเทา’ คุมเข้ม ‘ร้านทอง-ร้านแลกเงิน’ โยงเงินบาทแข็งค่า ธนาคารแห่งประเทศไทย” ภายใต้ “นายวิทัย รัตนากร” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำลังเดินหน้าปรับบทบาทแบงก์ชาติครั้งใหญ่ จัดระเบียบเงินผิดกฎหมาย “ทุนเทา” ธุรกรรมเสี่ยงที่ไม่เคยเห็นข้อมูลมาก่อน

พร้อมขยายการกำกับร้านทอง ร้านแลกเงิน ผู้ให้บริการ e-Wallet ชี้เป็นสาเหตุทำเงินบาทแข็งค่า และกำลังแก้โจทย์ใหญ่ประเทศภายใต้ “มาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอี” หวังฟื้นโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่ “ป่วยเรื้อรัง”กลับมาสู่ภาวะปกติ

นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน Governor Connect สัญจรว่า ประเด็นสำคัญที่ ธปท. อยู่ระหว่างดำเนินการ คือ แก้ปัญหา “ทุนเทา-เงินผิดกฎหมาย”

ที่สังคมตั้งคำถามว่าเหตุใด ธปท. ไม่ควบคุม ไม่ติดตาม และไม่เห็นข้อมูลการไหลเข้า ไหลออกของเงิน ซึ่งภายใต้กฎหมายปัจจุบัน ธปท. ยอมรับว่า “ไม่มีข้อมูล” การทำธุรกรรมการเงินที่เป็นเงินบาท (Flow) ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงินระหว่างบุคคล ระหว่างบริษัท หรือในประเทศใดๆ ข้อมูลเหล่านี้ไม่ถูกส่งให้แบงก์ชาติ เพราะกฎหมายกำหนดให้รายงานไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เท่านั้น เช่น การโอนการฝากเงินสดเกิน 2 ล้านบาท หรือธุรกรรมที่ต้องสงสัย 

ถ้าแบงก์ชาติไม่ได้เห็นทุกอย่าง ไม่ได้รับข้อมูลเหล่านี้ตามกฎหมายปัจจุบัน ทำให้ไม่มีข้อมูล แต่แบงก์ชาติไม่สามารถนิ่งเฉยได้ เพราะปัญหาเหล่านี้ทำให้ประชาชนเดือดร้อน เป็นความเสี่ยงต่อระบบการเงิน ธปท.จึงต้องเข้าไปช่วยแก้ไข โดยจะนำอำนาจตาม พ.ร.บ. สถาบันการเงินซึ่งเดิมไม่ค่อยใช้ กลับมาใช้ใหม่ เพื่อกำกับดูแลบางประเภทธุรกรรมที่มีความเสี่ยง

 ขณะนี้ ธปท. กำลังออกแบบเกณฑ์ใหม่ที่กำหนดให้สถาบันการเงินต้องรายงาน “ธุรกรรมผิดปกติ” ให้แบงก์ชาติ เช่น เงินเข้าเงินออกหลักล้านบาท และโอนออกทันที ซึ่งผิดปกติหากเทียบกับพฤติกรรมปกติของเจ้าของบัญชี ซึ่งเกณฑ์เหล่านี้จะต่างจากการรายงาน ปปง. และเป็นรายการเฉพาะจุดที่ ธปท. จะใช้เพื่อติดตามและดำเนินการต่อ

ธปท.ไม่ได้เข้าไปยุ่งกับธุรกรรมประเภทที่กฎหมายกำหนดให้ต้องรายงานกับ ปปง. อยู่แล้ว แต่ธปท.จะเพิ่มรายการธุรกรรมแบบใหม่ ที่ธนาคารต้องรายงานให้ ธปท. โดยตรง เป็นธุรกรรมที่เห็นชัดในระบบ เช่น เงินเข้ากลางดึกจำนวนมากแบบกระจายไปหลายบัญชี ซึ่งมักเชื่อมโยงกับธุรกรรมออนไลน์ หรือพนันออนไลน์ ธปท.จะกำหนดว่า ธุรกรรมประเภทใดต้องรายงาน และธนาคารต้องทำอะไรต่อ หากไม่ดำเนินการจะมีโทษตามเกณฑ์ใหม่ แนวทางนี้ช่วยลดเงินเทาได้แน่นอน

 

สิ่งที่ธปท.จะกลับไปพิจารณา คือ กำหนดธุรกรรมต้องสงสัยว่า ประเภทใดบ้างที่ต้องชัดเจน ถูกต้อง ไม่ทำให้ระบบการเงินสะดุด ทุกอย่างต้องเริ่มต้นให้ถูกต้องและรอบคอบ

นอกจากนี้ การกำกับผู้เล่นนอกระบบธนาคาร เช่น ร้านแลกเงินกว่า 2,000 แห่ง ผู้ให้บริการโอนเงิน และผู้ให้บริการ e-Wallet ซึ่งที่ผ่านมาอาจควบคุมได้ไม่มากพอ แต่จากนี้ต้องกำกับเข้มขึ้น โดยเฉพาะเรื่องยืนยันตัวต้นหรือ KYC หากเปิดบัญชีออนไลน์แบบไม่พบหน้า จะถูกจำกัดวงเงิน และวงเงินสูงขึ้นได้เมื่อมีการพิสูจน์ตัวตนพบหน้า

เพื่อจับจุดเสี่ยงและทำให้จัดการปัญหาเร็วขึ้น ดังนั้น ร้านแลกเงินต่างๆ ต้องมีมาตรฐานเพิ่ม ไม่ใช่เปิดอย่างเสรี โดยไม่มีการควบคุม มาตรการเหล่านี้เป็นงานใหญ่และต้องดำเนินการในช่วงต่อไป

  • จ่อติดตามธุรกรรมซื้อขาย ‘ทองคำ’

เช่นเดียวกัน การเข้าไปดูแลธุรกิจที่เกี่ยวกับ “ทองคำ” ปัจจุบันธุรกิจทองคำในไทยเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ไม่มีการกำกับโดยตรงจากทางการ ธปท. อยู่ระหว่างพิจารณาว่าควรขยายบทบาทอย่างไรในอนาคต

หากดูการซื้อขายทองคำในอดีต พบว่าส่วนใหญ่ทำผ่านร้านทอง แต่ปัจจุบันบริบทเปลี่ยนไป ธุรกรรมหลักย้ายไปอยู่บนแอปเทรดทองคำเป็นบาท ซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตลอดทั้งวัน และมีมูลค่าธุรกรรมขนาดใหญ่ 
แต่ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับพฤติกรรมลูกค้ากลับไม่ปรากฏในระบบกำกับดูแลของรัฐ

ไม่ว่าลูกค้าจะซื้อทองจากหน้าร้านหรือแพลตฟอร์มออนไลน์ ข้อมูลก็ไม่ถูกส่งให้หน่วยงานกำกับ ธปท.จึงไม่เห็นข้อมูลส่วนนี้

ทั้งนี้ ยอมรับว่าธุรกรรมทองปัจจุบันกระทบต่อค่าเงินค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการซื้อขายทองคำเป็นเงินบาท ส่งผลให้เงินบาทผันผวนเพิ่มขึ้นบางช่วง การซื้อขายทองคำด้วยสกุลเงินบาทส่งผลให้ร้านทองต้องบริหารความเสี่ยง ทั้งการทำธุรกรรมทองคำกับต่างประเทศ และการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ 

ปัจจุบัน ธปท. มีข้อมูลร้านทองเฉพาะกรณีร้านทองทำธุรกรรมซื้อขายเงินตราต่างประเทศ (FX) กับธนาคารพาณิชย์ในประเทศเท่านั้น แต่ไม่มีข้อมูลหากร้านทองซื้อขายทองคำกับตลาดต่างประเทศ การทำธุรกรรม FX ผ่านบริษัทในเครือในต่างประเทศ รวมทั้งกรณีทำธุรกรรมด้วย crypto currency ธปท. อยู่ระหว่างปรับประกาศกระทรวงการคลัง เพื่อติดตามผลกระทบต่อค่าเงิน และกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องให้ตรงจุด

หากมีผู้ประกอบการส่งออกทองไปกัมพูชา แล้วชำระกันด้วยคริปโตเคอร์เรนซี เราก็ไม่เห็นอะไรเลย ธุรกรรมประเภทนี้ไม่ผ่านระบบสถาบันการเงินไทย ธปท.จำเป็นต้องเข้ามาศึกษาเพิ่มเติมว่าควรทำอย่างไร เพื่อให้เห็นธุรกรรมมากขึ้น ที่ทำได้ตอนนี้ คือ ใช้ พ.ร.บ.ซื้อขายเงินตราต่างประเทศธปท. ซึ่งเปิดช่องให้ธปท.ดูข้อมูลบางส่วนจากผู้ประกอบการ เพื่อให้เข้าใจธุรกรรมต่างๆ มากขึ้น

นายวิทัย กล่าวถึง บทบาทหลักแบงก์ชาติ คือ ดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค ผ่านการใช้นโยบายการเงินเพื่อรักษาอัตราเงินเฟ้อให้ต่ำและควบคุมได้ ควบคู่การทำให้ระบบการเงิน และระบบชำระเงินมีเสถียรภาพแข็งแรง

 ความเสี่ยงสำคัญของเศรษฐกิจไทยช่วงนี้เป็น “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” ต้องอาศัยการขยายบทบาทแบงก์ชาติเข้าไปช่วยแก้ไข

ดังนั้น ธปท.จะทำเฉพาะเรื่องที่ควรทำและอยู่ในบริบทธนาคารกลาง สอดคล้องค่านิยม “ยืนตรง มองไกล ยื่นมือ ติดดิน” คือ เข้าใกล้ประชาชนมากขึ้น ช่วยแก้ปัญหาเชิงสังคม เศรษฐกิจ และโครงสร้าง พร้อมเผยว่า เกือบ 2 เดือนหลังเข้ารับตำแหน่ง ได้ดำเนินงานตามแนวทางนี้อย่างต่อเนื่อง ผ่านการออกโครงการและมาตรการเฉพาะจุดหลายรายการ

มาตรการแรก คือ แก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ผ่านโครงการ “ปิดหนี้ไว้ ไปต่อได้” สำหรับลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสียไม่เกิน 100,000 บาท รวม 1.6 ล้านบัญชี คาดทำให้ลูกหนี้ราว 5-8 แสนรายหลุดสถานะหนี้เสีย กลับสู่ระบบเศรษฐกิจได้ การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างไม่สามารถทำได้ด้วยมาตรการเดียว แต่ต้อง “ต่อจิ๊กซอว์” แก้ปัญหาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ภาพรวมดีขึ้น

  • ดึง 2 หมื่นล้านอุ้มเอสเอ็มอี

มาตรการต่อมา คือ แก้ปัญหาหดตัวสินเชื่อเอสเอ็มอี ที่ติดลบต่อเนื่อง 13 ไตรมาส ล่าสุดเดือนที่ผ่านมา สินเชื่อติดลบอยู่ที่ 4% จากด้านอุปสงค์ที่เศรษฐกิจไม่ดี ด้านอุปทานธนาคารไม่ปล่อยกู้ เพราะความเสี่ยงด้านเครดิตอยู่ในระดับสูง

ธปท.ร่วมกับกระทรวงการคลังและสมาคมธนาคารไทย กำลังสร้าง “กลไกค้ำประกันสินเชื่อเอสเอ็มอี” รูปแบบใหม่ เพื่อลด Credit Cost และทำให้ธนาคารกลับมาปล่อยกู้มากขึ้น เตรียมใช้เงินจากกองทุนฟื้นฟูฯ (FIDF) ประมาณ 20,000 ล้านบาท ตั้งเป็นกองทุนค้ำประกัน คาดช่วยค้ำประกันสินเชื่อได้ราว 100,000 ล้านบาท

กลุ่มเป้าหมาย คือ เอสเอ็มอีขนาดกลางถึงใหญ่ในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ เช่น อาหารแปรรูป เกษตรแปรรูป และกลุ่ม Wellness รวมถึงอาจขยายไปสู่ค้าส่งค้าปลีก โดยธนาคารที่เข้าร่วมจะได้รับการค้ำประกันความเสี่ยง 10-30% โดยเฉลี่ย 20% เช่น หากธนาคารปล่อยสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท จะมีโควตาค้ำประกันความเสี่ยงราว 2,000 ล้านบาท เพื่อลดกังวลเรื่องหนี้เสีย และทำให้สินเชื่อใหม่เกิดขึ้นได้จริง

ขณะนี้ อยู่ระหว่างหารือขนาดสินเชื่อต่อราย และแหล่งเงิน FIDF ที่จะใช้ คาดได้ข้อสรุปสิ้นปี และเริ่มดำเนินการปี 2569 แม้การนำเงิน FIDF มาใช้จะทำให้การชำระหนี้กองทุนฟื้นฟูช้าไปราว 6 เดือน แต่ผู้ว่าฯ ย้ำว่า หากไม่เริ่มทำอะไร ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น สินเชื่อเอสเอ็มอีติดลบต่อเนื่อง 13 ไตรมาสจะยังอยู่เหมือนเดิม 

  • มีพื้นที่ลดดอกเบี้ยได้อีก  

ด้านนโยบายการเงินปัจจุบันยังอยู่ในทิศทางผ่อนคลาย กนง.ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายรวม 1% ตั้งแต่ปลายปีก่อนเพื่อประคองเศรษฐกิจที่เติบโตช้า และย้ำว่าทุกฝ่ายเห็นพ้องว่านโยบายดอกเบี้ยต้อง “สนับสนุน” ไม่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัว ประชุมครั้งถัดไป จะประเมินข้อมูลล่าสุดอีกครั้งว่าจำเป็นต้องผ่อนคลายเพิ่มเติมหรือไม่

ซึ่งหากดูปัญหาเศรษฐกิจที่โตช้าไม่ได้เกิดจากดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากปัจจัยโครงสร้าง นโยบายการเงินจึงเป็น “ตัวเสริม” ไม่ใช่เครื่องมือแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง แต่หากจำเป็น ประเทศไทยยังมี “Room” สำหรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ การลดดอกเบี้ยช่วยผ่อนคลายสภาพคล่อง และลดภาระหนี้เสียได้บางส่วน

สำหรับค่าเงินบาท การแข็งค่าที่ผ่านมาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ ดอลลาร์อ่อนลงราว 7% และไทยมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลสูง สิ่งที่ต้องการเห็น คือ เงินบาทที่สะท้อนพื้นฐานเศรษฐกิจจริง ส่วนการแทรกแซงค่าเงินต้องระมัดระวัง เพราะไทยเข้าเกณฑ์ 2 ใน 3 ของเงื่อนไขที่สหรัฐใช้ติดตามประเทศคู่ค้าแล้ว การซื้อเงินตราต่างประเทศเกิน 2% ของ GDP อาจถูกมองว่าเป็นการบิดเบือนค่าเงิน แม้ไทยมีเงินสำรองมากพอ

ธปท.ทำได้เพียงลดความผันผวน ไม่สามารถกดหรือดันเงินบาทให้อยู่ระดับใดระดับหนึ่งได้ ยกเว้นเกิดความผิดปกติรุนแรง

  • ส.ค้าทอง”ชี้ระบบธนาคาร-ก.ม.ปปง.คุมเข้ม

กรณีที่มีรายงานข่าวระบุว่า ธปท. เตรียมเข้ามากำกับดูแลธุรกรรม “เงินสีเทา” โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับทองคำ

ล่าสุด นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า การซื้อขายทองคำในประเทศและต่างประเทศ ไม่สามารถเกิดขึ้นโดยไร้การกำกับดูแล เนื่องจากทุกธุรกรรมการซื้อขายทองคำทั้งหมด ต้องผ่านระบบธนาคาร ซึ่งธนาคารมีหน้าที่รายงานต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว

อีกทั้ง ผู้ประกอบการค้าทองคำ อยู่ภายใต้กฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ก็กำหนดบทลงโทษที่เข้มงวดถึงขั้นยึดทรัพย์ ทำให้ผู้ประกอบการค้าทองคำไม่กล้าทำผิดกฎหมาย