ตลท.รุกมาตรฐานธุรกิจยั่งยืน หวังกู้วิกฤติศรัทธาตลาดทุน

ตลท.รุกมาตรฐานธุรกิจยั่งยืน  หวังกู้วิกฤติศรัทธาตลาดทุน

ตลท.มอง ESG ไม่ใช่ทางเลือกแต่เป็นทางรอดธุรกิจไทย ดูดเงินทุนผ่านกองทุนยั่งยืนทั่วโลก ชี้กฎระเบียบสากล ท้าทายแต่เป็นโอกาสตลาดใหม่ 

KEY

POINTS

  • ตลท. ผลักดันมาตรฐานธุรกิจยั่งยืน (ESG) เป็นเครื่องมือสำคัญในการกู้วิกฤตศรัทธาตลาดทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทย
  • การพัฒนาด้าน ESG ถูกมองว่าเป็น “ทางรอด” ไม่ใช่ “ทางเลือก” เพื่อให้ธุรกิจไทยเข้าถึงแหล่งเงินทุนและหลีกเลี่ยงมาตรการกีดกันทางการค้าในเวทีโลก
  • ตลท. เตรียมยกระดับเกณฑ์สู่มาตรฐานสากล เช่น การใช้ FTSE Russell ESG Scores และส่งเสริมการจัดอันดับ SET ESG Ratings เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ

เวที SUSTAINABILITY FORUM 2026 จัดโดยกรุงเทพธุรกิจระหว่างวันที่ 3-4 ธ.ค.2568 ในหัวข้อ Shift Forward: Overcoming Challenges ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของตลาดทุนที่มีส่วนในการขับเคลื่อนความยั่งยืน

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวในหัวข้อ Thai ESG Tools For Sustainable Investment ยกมาตรฐานตลาดทุนไทยด้วย ESG ว่า ตลท.มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนนโยบายรัฐบาลและการยกระดับมาตรฐานตลาดทุนไทย โดย ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) “ไม่ใช่ทางเลือก” แต่เป็น “ทางรอด” ของธุรกิจไทยในการแข่งขันระดับภูมิภาคและระดับโลก

ทั้งนี้ ESG ทั่วโลกให้ความสำคัญการลงทุนยั่งยืนสะท้อนจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตลาดทุนโลก พบว่าปี 2567 กองทุนยั่งยืนทั่วโลกมีมูลค่า 3.2 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่ม 4 เท่า เมื่อเทียบปี 2561 และธุรกิจที่ไม่คำนึง ESG เป็นธุรกิจที่ได้รับความสนใจน้อยลง 

พร้อมกันนี้ ล่าสุดทาง  OECD มีคำแนะนำด้านธรรมาภิบาลในตลาดทุนที่รวมถึง ESG การพัฒนาด้าน ESG จะช่วยให้ไทยยกระดับสู่มาตรฐานสากล  หากไทยไม่ลงทุนหรือพัฒนา  อาจเสียเปรียบด้านการแข่งขัน 

“กองทุนโลกเลิกลงทุนในพลังงานถ่านหิน สะท้อนว่าความยั่งยืน คือเงื่อนไขสำคัญของการเข้าถึงเงินทุน และการไม่พัฒนาด้าน ESG จะทำให้เสียเปรียบในการแข่งขัน อาจถูกกีดกันทางการค้า เช่น ภาษีคาร์บอน และถูกจำกัดการลงทุนในบางอุตสาหกรรม” 

ย้ำกฎเกณฑ์ท้าทาย-โอกาสสร้างตลาด

นายอัสสเดช กล่าวว่า ไทยกําลังเผชิญความท้าทายภายนอกที่ต้องเร่งการปรับตัวทางด้าน ESG  แต่จะเป็นโอกาสที่ไทยก้าวเป็นผู้นำภูมิภาคได้จากการ “การเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบโลก” เปิดทางให้ธุรกิจไทยเข้าสู่ Clean Tech และ Green Supply Chain และความเสียง่จาก Climate Change ทําให้ความต้องการการลงทุนใน Climate adaptation solutions เพิ่มสูงขึ้น  

แต่ด้าน “กฎระเบียบทั่วโลกที่เปลี่ยนไป” มาพร้อมความท้าทายเช่นกัน อย่างกรณีการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทำให้ห่วงโซ่อุปทานต้องปรับตัว โดยเฉพาะความต้องการความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทาน

โดยเฉพาะ ”การส่งออกในอนาคต“ จะถูกตรวจสอบกระบวนการผลิตและปริมาณการปล่อยคาร์บอนตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Carbon Border Adjustment Mechanism - CBAM) หากไม่ปรับตัวจะส่งผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน  ซึ่งทุกมาตรการสากลไม่ได้เพียงตั้งกําแพง แต่มองเป็นโอกาสสร้างตลาดใหม่สำหรับผู้ที่มีความพร้อมมากกว่า 

ตลท.ยกระดับตลาดทุนยั่งยืนสู่เวทีโลก

นายอัสสเดช ย้ำว่า ขณะที่รับตำแหน่งผู้จัดการ ตลท.มีความท้าทายเพราะปีที่ผ่านมา ตลท.เผชิญแรงกดดันจากภูมิรัฐศาสตร์ ภัยธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ แต่ยังใช้โอกาสนี้สร้างตลาดใหม่และผลักดัน ESG เป็นเครื่องมือแข่งขันประเทศเพื่อนบ้าน

สำหรับบทบาทของ ตลท.ในการส่งเสริม ESG ผลักดันทั้งฝั่งบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ส่งเสริมจัดอันดับ ESG (ESG INVESTING ในประเทศ) โดยทำงานร่วมกับคณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และภาครัฐใกล้ชิด เพื่อผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนจัดอันดับ ESG ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญดึงนักลงทุนในและต่างประเทศ 

ปี 2567 มีจํานวนบริษัทที่อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings สูงถึง 220 บริษัท เพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อนหน้า  พบว่า มีการผนวกความยั่งยืนเข้าไปในกระบวนการทางธุรกิจ เป็น BENCHMARK ด้านความยั่งยืนที่บริษัทนําไปใช้อย่างแพร่หลาย 

พร้อมกันนี้ ตลท.ผลักดันผลิตภัณฑ์การลงทุนครอบคลุมตราสารหนี้ ตราสารทุน และกองทุนรวมผ่าน “การเติบโตของการลงทุนยั่งยืน” ทั้งกองทุนรวมด้านความยั่งยืนมีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) กว่า 135,293 ล้านบาท และส่วนหนึ่งมาจากการสนับสนุนของภาครัฐเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากกองทุน ESG เติบโตเกือบ 6 เท่า ใน 1 ปี จาก 11,564 ล้าน บาทเป็น 78,292 ล้านบาท

มาตรฐานยวั่งยืนกู้วิกฤติศรัทธาตลาดทุน

อีกทั้ง ตลท.ยกระดับข้อมูล ESG โดย 18 ปีที่ผ่านมา ตลท.สนับสนุนการเปิดเผยข้อมูล ESG ระดับสากล ได้แก่ SASB (Sustainability Accounting Standards Board) มุ่งเน้นเปิดเผยข้อมูล ESG ที่มีผลกระทบทางการเงิน และ TCFD (Task Force on Climate-related Financial Disclosures) 

นอกจากเดินหน้ายกระดับด้าน ESG ที่ใช้ SET ESG Rating แล้ว ตลท.เตรียมประกาศเกณฑ์ FTSE Russell ESG Scores เต็มรูปแบบปีหน้า เพื่อสร้างการยอมรับในระดับสากล แก้ปัญหาวิกฤติศรัทธา ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้มาตลาดทุนไทย

นายอัสสเดช กล่าวว่า ตลท.วางแผนกลยุทธ์ 3 ด้าน และแนวทางปฏิบัติ 5 ข้อ เพื่อสร้างความเท่าเทียมและความโปร่งใส ร่วมมือ ก.ล.ต., สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และทุกภาคส่วนในการลงโทษพฤติกรรมที่ไม่เหมาะรวดเร็ว

นอกจากนี้ ตลท.เปิดตัวแพลตฟอร์ม SET Carbon เพื่อลดความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายการจัดทำรายงาน ESG โดยเฉพาะ SME ช่วยลดต้นทุนและอำนวยความสะดวกรายงานข้อมูลคาร์บอน เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันธุรกิจไทย

“ตลท.จะมีบทบาทเป็นตัวเชื่อมให้เกิดการทำงานร่วมกัน เพื่อยกระดับเศรษฐกิจไทยให้เติบโตและแข่งขันได้ในเวทีโลกอย่างยั่งยืน” 

“อัลไลรีท”ชูกรีนคอมมิวนิตี้มอลล์

นายกวินทร์ เอี่ยมสกุลรัตน์ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท อัลไล รีท แมนเนจเมนท์ จำกัด กล่าวในหัวข้อ “Finance & Investment for Sustainability” ว่า อัลไล รีท ตั้งเป้าพัฒนาพอร์ตอสังหาฯสู่ “กรีนคอมมิวนิตี้มอลล์” ในการสร้างความแตกต่างให้กองทุนผ่านการเน้นย้ำความสำคัญของความยั่งยืน (Sustainability) และเพิ่มการมีส่วนร่วมของชุมชน

ทั้งนี้ อัลไล รีท เป็นกองทุนเพื่อลงทุนอสังหาริมทรัพย์ เช่น community mall ซึ่งมีราว 18 แห่ง ในกรุงเทพฯ และหลายแห่งในเชียงใหม่ รวมถึงโครงการ mixed-use ต้องมีพื้นที่สีเขียวรองรับและให้ความสำคัญกับหลัก “3 P” ประกอบด้วย

1.People หรือ การให้ความสำคัญกับผู้คนและชุมชน ให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการในชุมชนให้ค้าขายได้ยั่งยืน พร้อมส่งเสริม SME ในชุมชนเติบโต

2.Planet หรือ การให้ความสำคัญกับโลกและสิ่งแวดล้อม โดยจะเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ลูกค้ามาใช้บริการ รวมถึงสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า

3.Profit หรือ ผลกำไร หากผู้เช่าขายสินค้าได้ดี กองทุนจะมีผลตอบแทนมากขึ้นในด้านพลังงาน โครงการคอมมิวนิตี้มอลล์ที่ลงทุนจะติดตั้งแผงโซลาร์เพื่อลดค่าใช้จ่ายพลังงาน โดยโครงการ “เดอะคริสตอลเอกมัย-รามอินทรา” ได้ติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาทำให้ปัจจุบันเกือบ 30% ของพลังงานที่ใช้มาจากพลังงานแสงอาทิตย์

รวมทั้งพื้นที่แต่ละโครงการยังมีความสัมพันธ์กับชุมชนโดยรอบ โดยมีสัดส่วนของพื้นที่ภายนอกอาคาร ที่เป็นพื้นที่สีเขียว ให้ทุกคนในชุมชนสามารถมาใช้งาน หรือมาพักผ่อนได้ตลอดเจ็ดวันต่อสัปดาห์