บลจ.อีสท์สปริง แนะกลยุทธ์ลงทุนโค้งสุดท้ายปี 68 ตราสารหนี้-หุ้นสหรัฐ-หุ้นเอเชีย สร้างผลตอบแทนมั่นคง

บลจ.อีสท์สปริง แนะกลยุทธ์ลงทุนโค้งสุดท้ายปี 68 ตราสารหนี้-หุ้นสหรัฐ-หุ้นเอเชีย สร้างผลตอบแทนมั่นคง

บลจ.อีสท์สปริง เผยไตรมาส 4 ปี 68 เป็นจังหวะเปลี่ยนผ่านดอกเบี้ยและความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ แนะจัดพอร์ตหลัก ตราสารหนี้-หุ้นสหรัฐฯ-หุ้นเอเชีย สร้างผลตอบแทนที่มั่นคง

KEY

POINTS

  • บลจ.อีสท์สปริง แนะลงทุนในตราสารหนี้ โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้คุณภาพดี เนื่องจากอัตราผลตอบแทนอยู่ในระดับที่น่าสนใจและจะได้รับประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ
  • แนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ กลุ่มเทคโนโลยีที่มีรายได้เติบโตจากเทรนด์ AI ซึ่งได้รับผลบวกจากเศรษฐกิจที่ขยายตัวดีกว่าคาด
  • ชี้ว่าหุ้นเอเชียเป็นโอกาสในการลงทุน โดยได้รับแรงหนุนจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีนที่มีความคืบหน้า และแนวโน้มการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในจีน
  • กลยุทธ์หลักคือการจัดพอร์ตที่ยืดหยุ่น เน้นกระจายความเสี่ยง และเลือกสินทรัพย์คุณภาพดี เพื่อสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในภาวะที่ตลาดเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านของนโยบายดอกเบี้ยและความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์

บลจ.อีสท์สปริง มองภาพรวมการลงทุนไตรมาส 4 ปี 2568  เป็นจังหวะเปลี่ยนผ่านของดอกเบี้ยและความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์  โดยเฉพาะความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีน  และท่าทีธนาคารกลางแต่ละประเทศ  แนะกลยุทธ์การจัดพอร์ตหลักเพื่อสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง ได้แก่ ตราสารหนี้ มีความน่าสนใจมากขึ้นหลังอัตราผลตอบแทนอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้คุณภาพดี ซึ่งได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยของเฟด รวมถึงหุ้นสหรัฐฯ ที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีรายได้เติบโตจากเทรนด์ AI และหุ้นเอเชีย ได้แรงหนุนจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่มีความคืบหน้า และแนวโน้มกระตุ้นเศรษฐกิจในจีน

นายยิ่งยง เจียรวุฑฒิ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 ตลาดการเงินทั่วโลกกำลังเข้าสู่ช่วง “เปลี่ยนผ่าน”ของนโยบายการเงิน โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้เริ่มต้นวงจรการลดดอกเบี้ยลง 0.25% และส่งสัญญาณว่าจะมีการลดเพิ่มเติมอีก 2 ครั้งภายในสิ้นปี 2568 ซึ่งสะท้อนว่าความเสี่ยงเงินเฟ้อเริ่มอยู่ในระดับที่ไม่น่ากังวลมากนัก ขณะเดียวกันข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯออกมาผสมผสานกัน ส่งผลให้นักลงทุนจับตาว่า Fed จะลดดอกเบี้ยต่อหรือชะลอไว้ก่อน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่จะประกาศในเดือนตุลาคม

ขณะที่ยุโรปมีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจนขึ้น ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับประมาณการเศรษฐกิจขึ้นและชะลอแผนลดดอกเบี้ย หลังเงินเฟ้อเริ่มกลับเข้าสู่เป้าหมาย และตัวเลขสินเชื่อภาคเอกชนเริ่มฟื้นตัวก่อนการลดดอกเบี้ยจริง สะท้อนว่ากิจกรรมเศรษฐกิจกำลังกลับมามีแรงขับเคลื่อนใหม่จากความต้องการในประเทศ  สำหรับเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) ยังคงได้แรงสนับสนุนจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงและแนวโน้มลดดอกเบี้ยในหลายประเทศ เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย และไทย ซึ่งช่วยประคับประคองสภาพคล่องในตลาดและลดแรงกดดันต่อเศรษฐกิจในภูมิภาค

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ต้องติดตามในไตรมาส 4 คือ 1.การประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 (ซึ่งจะประกาศในช่วงตุลาคม-พฤศจิกายน) โดยสิ่งที่นักลงทุนให้ความสำคัญที่สุดไม่ใช่ตัวเลขในอดีต แต่เป็น "Forward Guidance" หรือมุมมองของผู้บริหารต่อแนวโน้มในอนาคตซึ่งจะชี้นำทิศทางตลาดหุ้นโดยตรง หากผลประกอบการและมุมมองดังกล่าวออกมาดีกว่าคาด ก็อาจเป็นแรงส่งสำคัญที่กระตุ้นให้เกิด Santa Claus Rally ในช่วงปลายปีได้

2.การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ประจำเดือน ตุลาคม ซึ่งเริ่มมีความไม่แน่นอนมากขึ้นว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยต่อหรือไม่ หลังตัวเลขเศรษฐกิจออกมาแข็งแกร่งกว่าคาด ขณะที่ประเด็นที่น่าสนใจคือมุมมองของคณะกรรมการในอนาคตว่าจะลดดอกเบี้ยอีกครั้งเมื่อไหร่

3.การประชุม CEWC ซึ่งเป็นการประชุมเศรษฐกิจประจำปีที่สำคัญที่สุดของจีนในเดือนธันวาคม เพื่อกำหนดทิศทางและเป้าหมายเศรษฐกิจสำหรับปีหน้า เพื่อหาสัญญาณว่ารัฐบาลจีนจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปทางไหนในปีหน้า หลังเศรษฐกิจเริ่มมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสเติบโตต่ำกว่าเป้าหมาย 5% ในอนาคต

นายยิ่งยง กล่าวว่า ภาพรวมไตรมาส 4 ปี 2568 เป็นช่วงของ “การปรับสมดุลหลังความไม่แน่นอน” ตลาดยังได้แรงหนุนจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายทั่วโลก แต่ต้องติดตามปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีนและท่าทีของธนาคารกลางในแต่ละประเทศ ดังนั้น การจัดพอร์ตที่ยืดหยุ่น เน้นกระจายความเสี่ยง และเลือกสินทรัพย์คุณภาพดี จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง

โดยแนวทางจัดพอร์ตหลัก ได้แก่ ตราสารหนี้ (Fixed Income) ซึ่งมีความน่าสนใจมากขึ้นหลังอัตราผลตอบแทนอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้คุณภาพดี ซึ่งได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ นอกจากนี้หุ้นสหรัฐฯ ได้รับผลบวกจากเศรษฐกิจที่ขยายตัวดีกว่าที่คาดไว้ แต่ระดับราคาค่อนข้างแพง จึงควรเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีรายได้เติบโตจากเทรนด์ AI และหุ้นเอเชีย ได้แรงหนุนจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่มีความคืบหน้า และแนวโน้มกระตุ้นเศรษฐกิจในจีน ทำให้เป็นโอกาสสำหรับผู้ที่มองการฟื้นตัวในระยะถัดไป

สำหรับธีมการลงทุนและกองทุนแนะนำ ได้แก่ 1.กองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Multi Asset Income (ES-GAINCOME) เหมาะกับภาวะตลาดผันผวน เน้นกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ทั่วโลก เช่น หุ้น พันธบัตร และ หุ้นกู้อนุพันธ์แฝง (ELN) เพื่อสร้างกระแสรายได้สม่ำเสมอ 2.กองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Core Equity (ES-GCORE) เน้นลงทุนในหุ้นทั่วโลก ที่ยังมีแนวโน้มผลประกอบการเติบโตดีต่อเนื่อง หนุนโดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด โดย GDP ไตรมาส 2/25 โต 3.8% (ปรับขึ้นจากเดิม 3.0% ในประมาณการเบื้องต้น และ 3.3% ในประมาณการครั้งที่สอง) ขณะที่โมเดล GDPNow ประเมินไตรมาส 3/25 ราว 3.8% (ที่มา: Bloomberg, FED Atlanta ณ วันที่ 9 ต.ค. 2568) 3.กองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Income (ES-GINCOME) กองทุนตราสารหนี้ระดับโลกที่บริหารเชิงยืดหยุ่น เหมาะกับช่วงที่ส่วนต่างผลตอบแทนพันธบัตรยังอยู่ในระดับสูง แม้ตลาดเริ่มคาดการณ์ดอกเบี้ยขาลง

และ 4.กองทุนเปิดอีสท์สปริง US Information Technology (ES-USTECH) กลุ่มเทคโนโลยีมีแนวโน้มจะตอบรับกับการลดดอกเบี้ยในเชิงบวกนอกจากนั้นในช่วงเดือนที่ผ่านมาหุ้นเทคโนโลยียังได้รับแรงหนุนต่อเนื่องจากการประกาศแผนการลงทุน/ร่วมทุนระหว่างบริษัทเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาสินค้า AI