CRS คืออะไร? กระทบอย่างไรกับคนมีทรัพย์สินต่างประเทศ?

หากเรามีบัญชีหรือสินทรัพย์ในต่างประเทศ เช่น หุ้น กองทุน อสังหาริมทรัพย์ หรือบัญชีเงินฝาก อาจถูกจัดว่าเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ทางภาษีในประเทศไทย และข้อมูลจะถูกรายงานกลับมายังกรมสรรพากรโดยอัตโนมัติ นักลงทุนหรือผู้ที่มีทรัพย์สินในต่างประเทศจึงควรจัดเก็บข้อมูลบัญชีและหลักฐานการเสียภาษีในส่วนของตนเอง เพื่อพร้อมชี้แจงข้อมูลหากถูกขอตรวจสอบและสามารถอธิบายข้อมูลทางบัญชีและภาษีของตนได้
KEY
POINTS
- CRS (Common Reporting Standard) คือมาตรฐานสากลที่กำหนดให้สถาบันการเงินในประเทศสมาชิกต้องรายงานข้อมูลทางการเงินของลูกค้าที่มีถิ่นที่อยู่ทางภาษีในต่างประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกันโดยอัตโนมัติทุกปี มีวัตถุประสงค์เพื่อต่อต้านการหลีกเลี่ยงภาษี
- สำหรับคนไทยที่มีทรัพย์สินในต่างประเทศ (เช่น บัญชีเงินฝาก, หุ้น, กองทุน) ข้อมูลทางการเงินเหล่านั้นจะถูกสถาบันการเงินในประเทศนั้นๆ ส่งกลับมาให้กรมสรรพากรไทยโดยอัตโนมัติ
- ข้อมูลที่ถูกรายงานประกอบด้วยข้อมูลส่วนตัว (ชื่อ, ที่อยู่, เลขประจำตัวผู้เสียภาษี), เลขที่บัญชี, ยอดเงินในบัญชี ณ สิ้นปี และรายได้ทั้งหมดที่เกิดจากสินทรัพย์ในบัญชี เช่น ดอกเบี้ย หรือเงินปันผล
- ผลกระทบคือกรมสรรพากรไทยจะได้รับข้อมูลทางการเงินจากต่างประเทศ ทำให้สามารถตรวจสอบความถูกต้องของการเสียภาษีได้ง่ายขึ้น ผู้มีทรัพย์สินในต่างประเทศจึงควรจัดเก็บหลักฐานการเสียภาษีให้พร้อมเพื่อชี้แจงหากถูกตรวจสอบ
ในปัจจุบัน นักลงทุนไทยจำนวนไม่น้อยเริ่มขยับขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศมากขึ้น การถือครอง “สินทรัพย์ข้ามชาติ” ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นบัญชีเงินฝาก กองทุน หุ้นต่างประเทศ หรืออสังหาริมทรัพย์ จะเห็นได้ว่า โลกการเงินในวันนี้มีความเชื่อมโยงกันมากขึ้น ประเทศต่าง ๆ ก็เริ่มมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันมากขึ้นผ่านระบบ Common Reporting Standard (CRS) ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลทางการเงินที่เรามีในต่างประเทศ ถูกรายงานกลับมายังประเทศไทยแบบอัตโนมัติภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ
CRS คืออะไร? แล้วไทยเกี่ยวข้องอย่างไร ?
CRS (Common Reporting Standard) คือมาตรฐานสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินระหว่างประเทศ เพื่อต่อต้านการหลีกเลี่ยงภาษี ริเริ่มโดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งประเทศที่เข้าร่วมจะกำหนดให้สถาบันการเงิน เช่น ธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทประกัน ฯลฯ มีหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลลูกค้าที่อาจมีถิ่นที่อยู่ทางภาษีในต่างประเทศ และส่งข้อมูลดังกล่าวให้กรมสรรพากรของประเทศตนเอง เพื่อส่งต่อให้ประเทศคู่ภาคีแบบอัตโนมัติเป็นประจำทุกปี
ประเทศไทยได้เข้าร่วมลงนามในการทำข้อตกลงเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลดังกล่าว โดยมีกฎหมายรองรับคือ พระราชกำหนดการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อปฏิบัติตามความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับภาษีอากร พ.ศ. 2566 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2566 เป็นต้นไป
ข้อมูลทางการเงินที่ต้องรายงานมีอะไรบ้าง?
สถาบันการเงินในประเทศนั้นๆ จะต้องรายงาน และส่งข้อมูลดังกล่าวให้กรมสรรพากรของประเทศตนเอง เพื่อส่งต่อให้ประเทศคู่ภาคีแบบอัตโนมัติเป็นประจำทุกปี โดยข้อมูลสำคัญๆ ที่ต้องรายงานมีดังนี้
· ชื่อ-นามสกุล และที่อยู่
· หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี (TIN)
· เลขที่บัญชี
· ยอดเงินในบัญชีหรือมูลค่าเงินสดในกรมธรรม์ ณ สิ้นปี
· ผลรวมของเงินได้อื่นใดทั้งหมดที่เกิดจากสินทรัพย์ในบัญชี เช่น ดอกเบี้ย เงินปันผล ฯลฯ
ประเด็นสำคัญของ CRS ที่ควรทำความเข้าใจ
1. การแลกเปลี่ยนข้อมูลเป็นแบบอัตโนมัติที่ทางสถาบันการเงินจะส่งข้อมูลตามรอบเวลาที่กำหนด
2. สถาบันการเงินมีหน้าที่ทำ KYC เพื่อระบุว่าลูกค้าเป็น tax resident ของประเทศภาคีหรือไม่ โดยพิจารณาจากตัวบ่งชี้ เช่น ที่อยู่ การแจ้งถิ่นพำนัก หลักแหล่งเงินได้ เป็นต้น
3. สถาบันการเงินในไทยมีหน้าที่ส่งข้อมูลของผู้ที่มีถิ่นที่อยู่ทางภาษี (tax resident) ในประเทศภาคีให้แก่กรมสรรพากรไทยเพื่อรายงานไปยังประเทศภาคี ในขณะที่สถาบันการเงินในต่างประเทศ จะส่งข้อมูลของผู้ที่มีถิ่นที่อยู่ทางภาษีในไทยกลับมาให้กรมสรรพากรไทย
คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีทรัพย์สินหรือมีการลงทุนในต่างประเทศ
ควรทำความเข้าใจว่า กฎหมายฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินระหว่างประเทศ เพื่อให้หน่วยงานภาษีสามารถตรวจสอบความถูกต้องของการเสียภาษีได้ตามจริง ไม่ใช่การออกกฎหมายเพื่อจัดเก็บภาษีซ้ำซ้อนหรือเพิ่มเติมแต่อย่างใด
หากเรามีบัญชีหรือสินทรัพย์ในต่างประเทศ เช่น หุ้น กองทุน อสังหาริมทรัพย์ หรือบัญชีเงินฝาก อาจถูกจัดว่าเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ทางภาษีในประเทศไทย และข้อมูลจะถูกรายงานกลับมายังกรมสรรพากรโดยอัตโนมัติ นักลงทุนหรือผู้ที่มีทรัพย์สินในต่างประเทศจึงควรจัดเก็บข้อมูลบัญชีและหลักฐานการเสียภาษีในส่วนของตนเอง เพื่อพร้อมชี้แจงข้อมูลหากถูกขอตรวจสอบและสามารถอธิบายข้อมูลทางบัญชีและภาษีของตนได้
หากต้องการวางแผนโครงสร้างการถือครองสินทรัพย์ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับกฎหมายภาษีระหว่างประเทศ สามารถเข้ารับคำปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีโดยเฉพาะ ทั้งนี้ ตามกฎหมายภาษีของแต่ละประเทศได้นิยามถิ่นที่อยู่ทางภาษีไว้และอาจมีความแตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศ บุคคลหนึ่งจึงอาจมีถิ่นที่อยู่ทางภาษีมากกว่า 1 ประเทศได้







