ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 23 ธ.ค.68 ‘แข็งค่า‘ ดอลลาร์อ่อนค่า

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 23 ธ.ค.68 ‘แข็งค่า‘ ดอลลาร์อ่อนค่า

ค่าเงินบาทวันนี้ 23 ธ.ค. 68 เปิดตลาด“แข็งค่า“ ที่ระดับ 31.12 บาทต่อดอลลาร์ “กรุงไทย“ ชี้ดอลลาร์อ่อนค่า มองกรอบเงินบาทวันนี้ 31.05-31.20 บาทต่อดอลลาร์

KEY

POINTS

  • เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยที่ระดับ 31.12 บาทต่อดอลลาร์ โดยคาดว่าวันนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 31.05-31.20 บาทต่อดอลลาร์
  • ปัจจัยหลักมาจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ สอดคล้องกับภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน และการแข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่น
  • เงินบาทยังได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ ซึ่งเป็นผลมาจากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์และเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า
  • นักวิเคราะห์มองว่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสแรกของปี 2026 โดยมีปัจจัยหนุนจากราคาทองคำและโมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า "ค่าเงินบาทวันนี้"เปิดเช้านี้ ที่ระดับ  31.12 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”

จากระดับปิดของวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  31.18 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.05-31.20 บาทต่อดอลลาร์  

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท(USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Down ใกล้โซนแนวรับ 31.10 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 31.10-31.20 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยทั้งจังหวะการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น จากจุดอ่อนค่าสุดในช่วงนี้ 

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 23 ธ.ค.68 ‘แข็งค่า‘ ดอลลาร์อ่อนค่า

ขณะเดียวกันบรรยกาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ ก็อยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ลดทอนความต้องการถือครองเงินดอลลาร์ในช่วงนี้ นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ของราคาทองคำ ที่ได้อานิสงส์จากทั้งธีม Japanese Yen Debasement ในช่วงนี้ รวมถึงการอ่อนค่าลงล่าสุดของเงินดอลลาร์ และสถานการณ์ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่กลับมาร้อนแรงขึ้น หลังทางการสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้ายึดเรือน้ำมันของเวเนซุเอลา ส่วนสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ก็ยังคงร้อนแรงอยู่ แม้ว่าจะมีการพยายามเจรจาเพื่อยุติสงครามควบคู่กันไป อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามแรงซื้อของผู้เล่นในตลาดบางส่วนโดยเฉพาะฝั่งผู้นำเข้าที่อาจเริ่มเข้ามาทำธุรกรรมในช่วงสิ้นเดือน  

แนวโน้มค่าเงินบาท

แนวโน้มค่าเงินบาท เงินบาท (USDTHB) แข็งค่าขึ้นมากกว่าที่เราประเมินไว้พอสมควร สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (New All-Time High) ของราคาทองคำ เสริมด้วยจังหวะการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ซึ่งเราคงมองว่า โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทยังคงมีอยู่ และเงินบาทจะยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น จนถึง ตลอดช่วงไตรมาสแรกของปี 2026  โดยจากการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น จนกว่าจะสามารถพลิกกลับมาอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 31.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน (เราจะปรับมุมมองต่อแนวโน้มเงินบาทใหม่ หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์ หรือโซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์) 

เรามองว่า การจะเห็นเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้อย่างต่อเนื่องนั้น จะต้องเห็น 1. การปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดที่ชัดเจน ซึ่งต้องอาศัยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งและดีกว่าคาดมาก 2. การปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาทองคำ หรือ ราคาทองคำเข้าสู่ช่วงการพักฐานใหม่ นอกจากนี้ หากราคาทองคำเร่งตัวสูงขึ้น ก็สามารถกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้เช่นกัน ผ่านโฟลว์ธุรกรรมไล่ราคาซื้อทองคำ หรือ Fear of Missing Out Buying Flows (FOMO Buy) และ 3. ปัจจัยภายในประเทศ ซึ่งควรจะต้องเห็นความเสี่ยงที่รุนแรงต่อปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจ เช่น การท่องเที่ยว การส่งออก หรือปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ นักลงทุนต่างชาติแห่เทขายสินทรัพย์ไทย เช่น วิกฤตการเมือง (เรามองว่า ถ้าเป็นเพียงความวุ่นวายการเมืองอาจไม่ได้กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญได้)

 

เราประเมินว่า ความผันผวนของเงินบาทเสี่ยงที่จะสูงขึ้นและอย่างน้อยก็อยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Government Shutdown (ที่จะกลับมาอีกครั้งในช่วงต้นปี 2026) และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 

มุมมองการลงทุนทั่วโลก 

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor อาทิ  Oracle +3.3% และ Nvidia +1.5% รวมถึงการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินและกลุ่มพลังงาน ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.64% 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงเล็กน้อย -0.13% กดดันโดยแรงขายหุ้นกลุ่ม Healthcare รายใหญ่ อย่าง AstraZeneca -11.9% ทว่า การปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งแร่โลหะมีค่า อย่าง ทองคำ เงิน และราคาน้ำมันดิบ ได้หนุนให้ หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ และกลุ่มพลังงาน ต่างปรับตัวขึ้น ช่วยพยุงตลาดหุ้นยุโรปได้บ้าง 

ในส่วนตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจนแถวโซน 4.16% หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ในช่วงสัปดาห์เทศกาลคริสต์มาส อนึ่ง เราคงประเมินว่า ว่า ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงเป็น 1. แนวโน้มดอกเบี้ยของเฟด (ซึ่งจะขึ้นกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ) 2. แนวโน้มฐานะการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ และ 3. บรรยากาศในตลาดการเงิน โดยเรายังคงแนะนำให้ ผู้เล่นในตลาดรอจังหวะทยอยเข้าซื้อ (Buy on Dip) บอนด์ระยะยาว เน้นในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเท่านั้น อาทิ ระดับบอนด์ยีลด์เกิน 4.20% ก็จะเป็นระดับที่มีความน่าสนใจ และสามารถทยอยเข้าซื้อได้ แต่หากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงเพิ่มเติม จนต่ำกว่าระดับ 4.00% เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดยังไม่ควรไล่ราคาซื้อเพิ่มเติม เพื่อรอจังหวะให้บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นบ้าง ถึงจะคุ้มค่ากับความเสี่ยง หรือมี Risk-Reward ที่เหมาะสม 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง สอดคล้องกับภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ และการพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง จากจุดอ่อนค่าสุดในรอบปี ของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่โซน 98.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.2-98.6 จุด)  ในส่วนของราคาทองคำ การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และสถานการณ์ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่ร้อนแรงขึ้น ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน และการเดินหน้ายึดเรือบรรทุกน้ำมันของเวเนซุเอลา โดยทางการสหรัฐฯ ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2026) ปรับตัวสูงขึ้น ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ แถว 4,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้ง ยอดการจ้างงานภาคเอกชนรายสัปดาห์ โดย ADP ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) อัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) เป็นต้น เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด  

และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังการเจรจาเพื่อยุติสงครามมีความคืบหน้ามากขึ้น รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับเวเนซุเอลา ที่ยังคงเห็นการเดินหน้ายึดเรือบรรทุกน้ำมันของเวเนซุเอลาอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา