นโยบายการเงิน ในยุค ‘ศก.ไทย’ ป่วยหนัก แค่ลดดอกเบี้ยพอหรือไม่?

นโยบายการเงิน  ในยุค ‘ศก.ไทย’ ป่วยหนัก  แค่ลดดอกเบี้ยพอหรือไม่?

"กรุงเทพธุรกิจ" ชวนอ่านบทสัมภาษณ์พิเศษของ "ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ” นักเศรษฐศาสตร์ อดีตผู้บริหารจากธนาคารไทยพาณิชย์ ต่อมุมมองเศรษฐกิจไทย การทำงานของธนาคารแห่งประเทศไทย และหนี้ครัวเรือน

ท่ามกลางความปั่นป่วนของเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นจากระเบียบการค้า และระเบียบโลกที่เปลี่ยนไปหลังจากการกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของสหรัฐ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยในรายงานเศรษฐกิจฉบับล่าสุดในเดือนเม.ย.ว่า กลุ่มประเทศในอาเซียน (รวมทั้งประเทศไทย) มีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดเพราะเป็นกลุ่มประเทศที่พึ่งพาการส่งออกอย่างมีนัยสำคัญ

นั้นจึงไม่แปลกที่หลายสำนักวิจัยจะออกมาปรับลดการเติบโตของประเทศไทยลงเพราะพึ่งพาการส่งออกเป็นสัดส่วนกว่า 60-65% ของจีดีพี เช่น ไอเอ็มเอฟมองว่าไทยจะโตได้เพียง 1.8% ในปีนี้ และ 1.6% ในปีหน้า ส่วนสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ (สศช.) ก็เพิ่งจะออกมาปรับลดคาดการณ์การเติบโตจีดีพีไทยเหลือ 1.8% เช่นเดียวกัน แม้ว่าในไตรมาสหนึ่งจะรายงานว่าเติบโตได้ 3.1% ก็ตาม

แต่ปัญหาของเศรษฐกิจไทยนั้นไม่ได้มีแค่ “ปัญหาเฉพาะหน้า” อย่างภาษีทรัมป์เท่านั้น เพราะหนึ่งปัญหาเรื้อรังที่กดดันเศรษฐกิจไทยมาอย่างยาวนานตามที่ “ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ” นักเศรษฐศาสตร์ อดีตผู้บริหารจากธนาคารไทยพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์พิเศษกับกรุงเทพธุรกิจ เมื่อวันที่ 20 พ.ค.68 คือ “หนี้ครัวเรือน”

นโยบายการเงิน  ในยุค ‘ศก.ไทย’ ป่วยหนัก  แค่ลดดอกเบี้ยพอหรือไม่?

 

 

"หนี้ครัวเรือนเป็นปัญหาเรื้อรังที่เราพูดกันมานาน แต่เมื่อเกิดโควิด-19 หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงขึ้นค่อนข้างมาก และแม้จะผ่านวิกฤติดังกล่าวมาแล้ว ตัวเลขล่าสุดยังคงอยู่ที่ 88.4% ของ GDP ลงมาเพียงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งงานวิจัยจากจุฬาฯ เปิดเผยว่าหากรวมหนี้นอกระบบเข้ามาด้วยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP อาจสูงเกิน 100% แล้ว ซึ่งหมายความว่าภาระหนี้ที่ต้องจ่ายมีมูลค่ามากกว่าความสามารถในการหารายได้มาชำระคืน" ดร.สมประวิณ กล่าว พร้อมเสริมว่า “ตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันเฉียงใต้

เมื่อถามถึงวิธีการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน อดีตนายแบงก์ผู้นี้ ตอบว่า การลดหนี้ครัวเรือน (Deleveraging) เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา โดยจากประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลก กระบวนการลดหนี้ใช้เวลาประมาณ 6-7 ปี ขณะที่ประเทศไทยเพิ่งเริ่มกระบวนการนี้ได้เพียง 1-2 ปีเท่านั้น

นักเศรษฐศาสตร์จากแมคเคนซี เคยระบุว่า การนับว่ามีการลดหนี้อย่างแท้จริงต้องเกิดการลดหนี้ติดต่อกัน 3 ปี และสัดส่วนหนี้ต่อ GDP ลดลงได้ถึง 10% ซึ่งประเทศไทยยังไม่บรรลุเกณฑ์นี้

คำถามที่ตามมาคือ ผลกระทบของการที่หนี้ครัวเรือนปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องคืออะไร ดร.สมประวิณ กล่าวโดยอ้างอิงงานศึกษาของ Bank for International Settlements (BIS) ว่า เมื่อหนี้สูงเกินไป จะส่งผลต่อรายได้ และรายจ่าย เนื่องจากประชาชนต้องนำรายได้ไปชำระหนี้แทนที่จะใช้จ่ายเพื่อการบริโภค ส่งผลให้การบริโภคภาคครัวเรือนลดลง ซึ่งสัญญาณนี้เริ่มเห็นแล้ว โดยสภาพัฒน์ออกมาเปิดเผยว่า การบริโภคเติบโตน้อยลงกว่าไตรมาสก่อนหน้า

นโยบายการเงิน  ในยุค ‘ศก.ไทย’ ป่วยหนัก  แค่ลดดอกเบี้ยพอหรือไม่?

แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน

ดร.สมประวิณ เปรียบเทียบกระบวนการแก้หนี้ว่ามี 2 แบบ คือแบบ "เจ็บปวด" (Painful) และแบบ "ดีต่อสุขภาพ" (Healthy) เหมือนคนที่ต้องการลดน้ำหนัก:

1. แบบเจ็บปวด : เปรียบเสมือนการงดอาหารเพื่อลดน้ำหนัก ซึ่งทำให้ไขมันหายไปแต่ทรมาน ในทางเศรษฐกิจคือ การบีบไม่ให้เกิดหนี้ใหม่

2. แบบที่ดีต่อสุขภาพ : เปรียบเสมือนการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มสุขภาพ ในทางเศรษฐกิจคือ การทำให้เศรษฐกิจเติบโตเพื่อให้มีรายได้มาชำระหนี้

"การแก้หนี้ที่ดีที่สุดควรเป็นส่วนผสมของทั้งสองแนวทาง" ดร.สมประวิณ กล่าว "การบีบไม่ให้ก่อหนี้อย่างเดียวอาจนำไปสู่ปัญหาอื่นที่ไม่ใช่เศรษฐกิจ อาจเป็นปัญหาสังคมหรือการเมือง เพราะคนไม่มีรายได้แต่ยังมีความจำเป็นต้องใช้จ่าย ในขณะเดียวกัน หากเศรษฐกิจดีแต่ยังคงก่อหนี้ที่ไม่เป็นประโยชน์ ก็ไม่ช่วยให้หนี้ลดลง"

ปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การลดหนี้เกิดขึ้นได้ประกอบด้วย 4 ประการ ได้แก่ :

  1. เงื่อนไขตั้งต้น : สถานการณ์หนี้ของไทยสูงมาก ทำให้ต้องใช้เวลานานในการแก้ไข อาจต้องใช้เวลาถึง 10 ปี หรือต้องใช้มาตรการที่เข้มข้นมากขึ้น
  2. การเติบโตทางเศรษฐกิจ : หนี้จะลดลงได้เมื่อมีรายได้มาชำระ จึงต้องทำให้เศรษฐกิจเติบโต
  3. นโยบายที่สอดประสานกัน (Policy Coordination) : นโยบายการเงิน และการคลังต้องทำงานควบคู่กันเพื่อให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพ โดยทั้งสองนโยบายควรผ่อนคลาย (Supportive Policy)
  4. นโยบายสินเชื่อ (Credit Policy): ต้องมีกลไกที่ทำให้การก่อหนี้ในอนาคตเป็นหนี้ที่มีคุณภาพ

บทบาทของ 'แบงก์ชาติ' และ 'นโยบายการเงิน'

นอกจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่กดดันเศรษฐกิจ และประชาชนไทยอย่างหนักแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ “ผิดฝาผิดตัว” ในปัจจุบันคือเศรษฐกิจเติบโตต่ำ เงินเฟ้อก็ต่ำ แต่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศกลับรู้สึกว่า “ข้าวของแพงขึ้น” ในประเด็นนี้อดีตนายแบงก์ผู้นี้ แสดงความคิดเห็นถึงความผิดปกตินี้ว่า เกิดจากความแตกต่างในตะกร้าสินค้าที่แต่ละกลุ่มบริโภค โดยเฉพาะคนมีรายได้ต่ำซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ คนกลุ่มนี้บริโภคอาหารในสัดส่วนสูงถึงเกือบ 50% ของค่าใช้จ่าย และราคาอาหารมักปรับตัวเร็วกว่าสินค้าอื่น (ปรับขึ้นเร็ว ปรับลงช้า)

"เมื่อเงินเฟ้อสูงขึ้น คนทั่วไปจะรู้สึกได้มากกว่า เพราะสิ่งที่เขาบริโภคส่วนใหญ่มีราคาแพงขึ้นนั้นคือ อาหาร" ดร.สมประวิณ กล่าว

จากสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งหมด การดำเนินนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงควรพิจารณา “ความไม่สมมาตร” หรือ Asymmetric ของเงินเฟ้อนี้ด้วย ไม่ใช่ดูแค่ตัวเลขเงินเฟ้อเท่านั้น ในภาวะที่ค่าครองชีพสูงแต่เงินเฟ้อต่ำ ดร.สมประวิณ เสนอให้นโยบายการเงินควรผ่อนคลายมากขึ้น (Easing) เพื่อช่วยด้านรายได้ และกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ

นโยบายการเงิน  ในยุค ‘ศก.ไทย’ ป่วยหนัก  แค่ลดดอกเบี้ยพอหรือไม่?

นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมีผลสำคัญ 2 ประการ :

1. สร้าง Sentiment ที่ดี : ในภาวะที่หลายคนรู้สึก "no hope" กับเศรษฐกิจไทย การมีนโยบายที่ถูกผลักดันออกมาจะช่วยสร้างความเชื่อมั่น และเป็นการสร้าง "floor" ของการหมุนลงของเศรษฐกิจ

2. มีผลต่อการคาดการณ์ : หากมีการส่งสัญญาณชัดเจนว่าการลดดอกเบี้ยเป็น "easing cycle" ไม่ใช่การลดครั้งเดียว จะมีผลต่อการคาดการณ์ของระบบสถาบันการเงิน และทำให้การส่งผ่านนโยบาย (pass through) มีประสิทธิภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ดร.สมประวิณ มองว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังส่งสัญญาณไม่ชัดเจนพอ โดยกล่าวว่า "กนง. พูดว่าเรายังไม่เข้าสู่โหมด easing cycle" แม้จะมีแนวคิดว่าควรเก็บ "กระสุน" ไว้ใช้เมื่อเกิดวิกฤติ แต่ ดร.สมประวิณ เห็นว่านโยบายการเงินควรทำงานบนวัฏจักรเศรษฐกิจ ไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดวิกฤติเท่านั้น

"การลดอัตราดอกเบี้ยไม่จำเป็นต้องทำเฉพาะเมื่อมีวิกฤติ เราสามารถใช้ดอกเบี้ยทำงานในช่วงวัฏจักรเศรษฐกิจขาลงได้" ดร.สมประวิณ กล่าว

ในสถานการณ์ปัจจุบัน เงินเฟ้อประมาณการอยู่ที่ราว 0.7-0.8% ขณะที่เศรษฐกิจเติบโตประมาณ 1.5-1.8% ซึ่งต่ำกว่าศักยภาพที่ควรอยู่ที่ประมาณ 2.5% ดร.สมประวิณ จึงเห็นว่า ธปท. สามารถลดดอกเบี้ยได้อีก โดยอาจลดลงได้ถึง 0.75-1.00% อีกเพราะมีแนวโน้มว่าจะมีดาวน์ไซด์จากเงินเฟ้อในอนาคต

เครื่องมือทางการเงินอื่นนอกเหนือจาก 'ดอกเบี้ย'

ดร.สมประวิณ ชี้ว่า นโยบายการเงินไม่ได้มีเพียงการปรับดอกเบี้ยเท่านั้น แต่ควรพิจารณาเครื่องมืออื่นๆ ด้วย โดยในช่วงโควิด-19 ธปท. ได้ใช้สิ่งที่เรียกว่า "Integrated Policy Framework" ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างนโยบายการเงิน นโยบายสถาบันการเงิน และอัตราแลกเปลี่ยน

"เราต้องซักซ้อมภายใต้ Integrated Policy Framework แบบนั้น เหมือนเป็น Business Contingency Plan ว่าหากมีเหตุการณ์เกิดขึ้น เราจะตอบสนองอย่างไร บทบาทหน้าที่ของแต่ละนโยบายจะทำอะไร และสอดประสานกันอย่างไร" ดร.สมประวิณ กล่าว

นอกจากนี้ “การสื่อสาร” ก็เป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของนโยบายการเงิน ดร.สมประวิณ อธิบายว่าการทำนโยบายให้มีประสิทธิภาพสูงสุดทำได้ผ่านการกระทำ และความน่าเชื่อถือ (credibility) ซึ่งความน่าเชื่อถือเกิดจากการสื่อสารที่ดี

"การสื่อสารที่ดีไม่ใช่แค่สื่อสารผลการประชุม แต่ต้องบอกหลักคิด บอก logic ว่าอะไรขึ้นอะไรลง และจะมีการกระทำอย่างไร ต้องบอกว่ามองสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันอย่างไร และนำหลักคิดมาทาบกับข้อเท็จจริงได้เป็นอย่างไร จึงสรุปว่าผลของการตัดสินใจ และการกระทำคืออะไร และคาดว่าผลที่ทำลงไปภายใต้หลักคิดที่พิจารณาแล้วจะเป็นอย่างไร" ดร.สมประวิณอธิบาย

บทเรียนการแก้ไขปัญหาหนี้จากต่างประเทศ

ท้ายที่สุด ดร.สมประวิณ ยกตัวอย่างประเทศเกาหลีใต้ซึ่งประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาหนี้ โดยใช้นโยบายผ่อนคลายอย่างระมัดระวัง สอดคล้องกับหลักการ "ออกกำลังกาย และควบคุมอาหาร" ที่ ดร.สมประวิณ กล่าวถึงในช่วงแรก หรือกล่าวโดยสรุปคือ การที่ธนาคารกลางผ่อนคลายนโยบายการเงินแต่ระมัดระวังไม่ให้เกิดหนี้ที่ไม่พึงประสงค์

นโยบายการเงิน  ในยุค ‘ศก.ไทย’ ป่วยหนัก  แค่ลดดอกเบี้ยพอหรือไม่?

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์