การจัดการภัยพิบัติต้องเป็นวาระแห่งชาติ

การจัดการภัยพิบัติต้องเป็นวาระแห่งชาติ

ประเทศไทยไม่มีการจัดการภัยพิบัติที่เป็นระบบ ทำให้ผลกระทบจากภัยธรรมชาติรุนแรงขึ้น โดยปัจจุบันการช่วยเหลือยังพึ่งพาภาคเอกชนและองค์กรการกุศลเป็นหลัก ขณะที่ภาครัฐขาดโครงสร้างพื้นฐานรองรับ

KEY

POINTS

  • ผู้เขียนชี้ว่าประเทศไทยไม่มีการจัดการภัยพิบัติที่เป็นระบบ ทำให้ผลกระทบจากภัยธรรมชาติรุนแรงขึ้น โดยปัจจุบันการช่วยเหลือยังพึ่งพาภาคเอกชนและองค์กรการกุศลเป็นหลัก ขณะที่ภาครัฐขาดโครงสร้างพื้นฐานรองรับ
  • บทความได้เปรียบเทียบการจัดการภัยพิบัติของไทยกับต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่นที่เน้นการเตือนภัยและฝึกซ้อม, เนเธอร์แลนด์ที่เน้นการวางแผนโครงสร้างพื้นฐานระยะยาว, และคิวบาที่เน้นการปกป้องชีวิตประชาชนเป็นสำคัญ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาระบบของไทย
  • ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับประเทศไทยคือการจัดการแบบผสมผสาน โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะสั้น (2 ปี) ให้เชื่อมโยงแผนที่มีอยู่ เสริมระบบเตือนภัยให้ทั่วถึง และจัดตั้งกองทุนฉุกเฉิน
  • ในระยะกลาง (2-5 ปี) ควรพัฒนาเครื่องมือทางการเงินเพื่อบริหารความเสี่ยง เช่น ตราสารหนี้ภัยพิบัติ (CAT Bond), ปรับปรุงกฎหมายผังเมืองและอาคารให้สอดคล้องกับความเสี่ยง และสร้างความร่วมมือกับเอกชนด้านโลจิสติกส์
  • สำหรับระยะยาว (5 ปีขึ้นไป) จำเป็นต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเชิงปรับตัว เช่น ผนังกั้นน้ำ การออกแบบเมืองเพื่อรับมือภัยพิบัติ และสร้างวัฒนธรรมความต้านทานภัยผ่านการศึกษาและการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ
  • ผู้เขียนเรียกร้องให้รัฐบาลผลักดันเรื่องนี้อย่างจริงจังให้เป็นวาระแห่งชาติโดยเร็วที่สุด เนื่องจากภาคเอกชนมีความพร้อมที่จะให้ความร่วมมืออยู่แล้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

ปัญหาโลกเดือดจะคงมีอยู่ต่อไป และภัยธรรมชาติก็รุนแรงขึ้นทุกปี จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์และนักภูมิศาสตร์พบว่า พื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบมากจะมี 5 เขตคือ 1. บริเวณขั้วโลกเหนือ (Arctic) จะกระทบเป็นสองเท่าของบริเวณอื่น เพราะน้ำแข็งละลายเร็ว ระดับน้ำจะสูงขึ้น 2. ประเทศหมู่เกาะที่มีระดับพื้นที่ต่ำ เช่น มัลดีฟส์ สาธารณรัฐคิรีบาส (Republic of Kiribati) ซึ่งเป็นหมู่เกาะปะการัง 33 เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก 3. ภูมิภาคในทวีปอัฟริกาซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา (Sub-Saharan Africa) เช่น สาธารณรัฐชาด สาธารณรัฐซูดาน รัฐเอริเทรีย สาธารณรัฐมาลี และ สหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย 4. ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่อยู่ติดชายฝั่งทะเล ที่มีสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ จะได้รับผลกระทบจากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น น้ำท่วม และอากาศที่แปรปรวน 5. ประเทศแถบทะเลแคริเบียนและอเมริกากลาง จะเกิดเฮอริเคน สภาพภูมิอากาศสุดขั้ว และระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 6. เมืองทางตะวันออกของสหรัฐอเมริกา และรอบๆอ่าวเม็กซิโก

ความเปราะบางนี้ นอกจากจะเกิดขึ้นเพราะระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ภูมิอากาศเปลี่ยน และปริมาณฝนซึ่งเปลี่ยนแปลงไป มากบ้างน้อยบ้าง ทำให้เกิดทั้งความแห้งแล้ง และน้ำท่วม แล้ว ยังเกิดจากการที่มีโครงสร้างพื้นฐานที่ยังพัฒนาน้อย ความยากจน ความไม่มั่นคงทางการเมือง และมีความสามารถในการจัดการกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศมีน้อย ทั้งยังเป็นประเทศที่มีการพึ่งพาการเกษตรและทรัพยากรธรรมชาติสูง จึงได้รับผลกระทบเต็มที่

แม้หลายๆคนจะมองว่า ยังดีที่เวลาเกิดภัยพิบัติขึ้น คนไทยมีจิตเมตตา ไม่ว่าจะเกิดภัยอะไร เราก็จะรุมกันช่วยเหลือ เป็นที่น่าประทับใจในน้ำใจและความช่วยเหลือที่เรามีให้กันและกัน

แม้เราจะหลีกเลี่ยงภัยพิบัติตามธรรมชาติไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่อาจมองข้ามไปได้คือ ประเทศไทยไม่มีการจัดการภัยพิบัติที่เป็นระบบ หากมีการจัดการให้ดีกว่านี้ ผลของภัยพิบัติต่างๆจะลดลงมากทีเดียว 

เพื่อนของดิฉันที่ไปอยู่ฟินแลนด์มานาน เคยวิจารณ์ตั้งแต่สมัยเกิดสึนามิเมื่อปี 2004 ว่า เมื่อเปรียบเทียบการจัดการภัยพิบัติของไทยกับฟินแลนด์ จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน ของไทยเราภาคเอกชนและองค์กรสาธารณกุศลเป็นตัวหลัก เรามีสภากาชาดไทย มีมูลนิธิต่างๆซึ่งน่าดีใจว่า มีจำนวนเพิ่มขึ้นมามากในช่วง 21 ปีที่ผ่านมา คอยดูแลช่วยเหลือด้านต่างๆ แต่เราไม่มีภาครัฐที่จัดโครงสร้างพื้นฐานให้ แม้ว่าเราจะริเริ่มระบบส่งข้อมูลเตือนภัยแล้ว แต่อย่างอื่นของเรายังดูไม่เป็นเรื่องเป็นราวเท่าใดนัก 

การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นที่ผ่านมา ผู้บริหารท้องถิ่น ยังคงเน้นการสร้างถนนดังเช่น 50 ปีก่อน จึงทำให้เราได้ถนนกับเสาไฟฟ้าสวยๆเพิ่มขึ้นมากมาย และไม่มีแผนแม่บทที่จะดูว่า เรายังขาดอะไร และงบประมาณบางอย่าง ควรได้รับการจัดสรรมาจากท้องถิ่นหรือไม่

ขอยกตัวอย่างของประเทศที่ได้รับการยอมรับว่ามีระบบการจัดการภัยพิบัติชั้นนำที่เอไอรวบรวมให้ดังนี้

ประเทศญี่ปุ่น เป็นระบบกระจายแต่เชื่อมโยงแผน โดยศูนย์เตือนภัยหลักคือ หน่วยงานกลางของรัฐบาล และสำนักงานอุตุนิยมวิทยา จะร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น โดยท้องถิ่นจะมีแผนชุมชนและมีการฝึกซ้อมภาคบังคับ และมีระบบแจ้งเตือนเร็ว ใช้สื่อหลายช่องทางในการเข้าถึงประชาชน การทำงานแบบนี้มีข้อดีคือเข้มข้น ได้ผลดี อพยพทันการณ์ แต่มีต้นทุนดำเนินการสูง และต้องมีวินัยสังคมและการลงทุนต่อเนื่อง

ประเทศเนเธอร์แลนด์ เน้นการบริหารเชิงพื้นที่และโครงสร้างพื้นฐาน เป็นการบริหารแบบบูรณาการระหว่างการวางผังเมือง การจัดการน้ำ และนโยบายภูมิศาสตร์ โมเดลนี้เป็นแผนระยะยาว เพราะรู้ว่าเกิดขึ้นแน่ๆอยู่แล้ว จึงต้องลงทุน และคุ้มค่าที่จะลงทุนด้วย แต่ต้องใช้เวลาในการทำให้บรรลุแผน

ประเทศคิวบา มีรัฐเป็นศูนย์กลาง ระบบจะเน้น “การปกป้องชีวิต”ผ่านการเตรียมชุมชน อพยพเป็นระบบ ให้การศึกษาและสื่อสารระดับรากหญ้า เนื่องจากทรัพยากรจำกัด จึงเน้นว่า หากเกิดพายุขึ้น ก็ขอให้คนตายน้อยที่สุด

ประเทศนิวซีแลนด์ เป็นระบบกระจายอำนาจระดับภูมิภาค ร่วมกับทุนสนับสนุนจากชุมชน เน้นการเยียวยาและฟื้นฟูที่ยืดหยุ่น

ประเทศสหรัฐอเมริกา FEMA เป็นหน่วยงานระดับชาติภายใต้กรอบ Stafford Act มีโปรแกรมเงินช่วยเหลือและความร่วมมือกับภาคเอกชน  

เงินงบประมาณที่จะนำมาใช้ในการจัดการภัยพิบัติส่วนใหญ่มาจากงบประมาณภาครัฐเป็นแกนหลัก และมีกองทุนฉุกเฉินสำหรับฟื้นฟู

ในส่วนของภาคเอกชน จะดูเรื่องการประกันภัยต่อ (re-insurance) ดูเรื่องเทคโนโลยีในการเตือนภัยล่วงหน้า (early warning) ดูเรื่องการประกันความเสี่ยง และสัญญาที่จะสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทาน การอำนวยความสะดวกในการฟื้นฟู ฯลฯ

ข้อแนะนำสำหรับประเทศไทย คือทำแบบผสมผสานค่ะ

ระยะสั้น (2 ปีแรก) : หลายอย่างมีอยู่แล้ว แต่ขาดการเชื่อมโยงกัน ควรมีแผนภาพรวมที่ชัดเจน และปรับปรุงให้สอดคล้องกันและใช้งานได้ เสริมระบบเตือนภัยให้เข้มข้นและเข้าถึงได้ทุกกลุ่ม (มือถือ สื่อท้องถิ่น ลำโพงชุมชน) ทำข้อความหลายภาษาและให้เหมาะสมกับชุมชน ให้มีการฝึกซ้อมระดับชุมชนเป็นประจำ และตั้งกองทุนเตรียมพร้อมสำหรับเหตุฉุกเฉิน ตั้งสำรองงบประมาณ

ระยะกลาง (2-5 ปี) พัฒนาเครื่องมือการเงินความเสี่ยง เช่น ตราสารหนี้ภัยพิบัติ CAT Bond (Catastrophe Bond) ซึ่งคือตราสารหนี้ที่อัตราผลตอบแทนอิงกับมูลค่าความเสียหายของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น ถ้าหากเกิดภัยพิบัติ ผู้ออกก็สามารถหักเงินต้น เรื่องที่ควรทำเชิงนโยบายคือ ปรับกฎเกณฑ์อาคารและผังเมืองที่เชื่อมกับความเสี่ยง สำหรับพื้นที่น้ำท่วม โคลนถล่ม โดยคำนึงถึงความเสี่ยงระยะยาว และสร้างกรอบความร่วมมือภาครัฐและเอกชนในการจัดการคลังวัสดุ โลจิสติกส์และระบบข้อมูล โดยทำสัญญาเช่าหรือสำรองคลังสิ่งของฉุกเฉินกับเอกชน และมีการเชื่อมโยงข้อมูลของบริษัทโทรคมนาคมและโลจิสติกส์กับระบบเตือนด้วย

ระยะยาว (5 ปีขึ้นไป) ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเชิงปรับตัว เช่น ผนังกั้นน้ำ การออกแบบเมืองให้เก็บ-ระบายน้ำ และสร้างวัฒนธรรมความต้านทางของสังคมผ่านการศึกษาในโรงเรียน การมีส่วนร่วมของชุมชนและการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ

ภาคเอกชนพร้อมให้ความร่วมมือและให้การสนับสนุนอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะเอาจริงเอาจังขนาดไหน ขอให้คิดตกผลึกไวๆนะคะ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป