ม.ศรีปทุม-ดีโหวต เผยผลโพลคนไทยส่วนใหญ่หนุนแจกเงินดิจิทัล หากไม่ต้องกู้

ม.ศรีปทุม-ดีโหวต เผยผลโพลคนไทยส่วนใหญ่หนุนแจกเงินดิจิทัล หากไม่ต้องกู้

ม.ศรีปทุมร่วมกับดีโหวต สำรวจความเห็นประชาชนผ่านบล็อกเชนประเด็น "เงินดิจิทัล 10,000 บาท" พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่เกือบ 50% สนับสุนให้มีการแจกเงิน หากไม่ต้องกู้ และหวังนำเงินไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหาร จ่ายค่าน้ำค่าไฟมากที่สุด 56%

มหาวิทยาลัยศรีปทุม (SPU) ร่วมกับดีโหวต (D-vote) เปิดเผยผลการสำรวจในประเด็น "คุณสนับสนุนให้มีโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาทหรือไม่?" โดยสำรวจระหว่างวันที่ 15 - 23 ต.ค. 2566 จากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกช่วงอายุ ภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และระดับรายได้ทั่วประเทศ จำนวน 1,158 ตัวอย่าง ค่าความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 95.0 พบว่า

- ร้อยละ 49.53 ระบุว่า "สนับสนุน หากสามารถทำได้โดยไม่ต้องกู้เงิน"
- ร้อยละ 33.86 ระบุว่า "สนับสนุน แม้ต้องกู้เงินมาทำก็ตาม"
- ร้อยละ 12.09 ระบุว่า "ไม่สนับสนุน ไม่ว่าจะกู้หรือไม่กู้เงินมาทำก็ตาม"
- ร้อยละ 4.52 ระบุว่า “ไม่รู้/ไม่แน่ใจ”

โดยเส้นของระดับรายได้ที่มีแนวโน้มสนับสนุนโครงการฯ อยู่ที่ผู้มีรายได้น้อยกว่า 45,000 บาท

และแบ่งผู้สนับสนุน/ไม่สนับสนุนโครงการฯ ตามผู้สนับสนุนพรรคต่าง ๆ (ระบุว่าได้เลือกพรรคดังกล่าวในการเลือกตั้ง 2566) ได้ดังนี้

[สนับสนุน หากไม่กู้, สนับสนุน แม้ต้องกู้, ไม่สนับสนุน]
ก้าวไกล: 53.32%, 33.90%, 8.51%
เพื่อไทย: 50.59%, 38.79%, 7.86%
ภูมิใจไทย: 46.28%, 41.45%, 4.45%
พลังประชารัฐ: 50.17%, 42.10%, 2.45%
รวมไทยสร้างชาติ: 49.66%, 13.48%, 36.86%
ประชาธิปัตย์: 31.61%, 43.07%, 21.16%

สำหรับคำถามในประเด็น "คุณอยากใช้เงินดิจิทัล 10000 บาท ทำอะไรมากที่สุด?" โดยผู้ตอบให้ความเห็นได้ตามความคิด แม้รัฐบาลจะไม่ได้ประกาศว่าให้ใช้ในประเภทนั้นหรือไม่ก็ตาม และเลือกได้สูงสุด 3 ข้อ พบว่า

- ร้อยละ 56.14 ระบุว่า "ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหาร จ่ายค่าน้ำค่าไฟ"
- ร้อยละ 39.32 ระบุว่า "ชำระหนี้"
- ร้อยละ 30.75 ระบุว่า "ซื้อของที่อยากได้"
- ร้อยละ 23.24 ระบุว่า "ลงทุน หรือสร้างธุรกิจ"
- ร้อยละ 18.91 ระบุว่า "นำเงินดิจิทัลไปแลกเป็นเงินสด (แม้จะต้องถูกเก็บค่าแลกก็ตาม)"
- ร้อยละ 16.36 ระบุว่า “ซื้ออุปกรณ์ทำงาน เช่น ปุ๋ย เครื่องจักร คอมพิวเตอร์”
- ร้อยละ 8.74 ระบุว่า “ท่องเที่ยว”
- ร้อยละ 6.50 ระบุว่า “รวมเงินกับคนอื่น ๆ  มาพัฒนาชุมชน เช่น สร้างแหล่งน้ำ”

สำหรับคำถามในประเด็น "หากรัฐเปิดให้นำเงิน 10,000 ของคุณไปรวมกับคนอื่น บางส่วนหรือทั้งหมดก็ได้ เพื่อให้ได้ก้อนที่ใหญ่มากขึ้นได้ คุณมีแนวโน้มจะทำหรือไม่?"

- ร้อยละ 40.23 ระบุว่า "ทำ จะรวมกับครอบครัว เช่น นำไปสร้างธุรกิจ สร้างบ้าน"
- ร้อยละ 21.97 ระบุว่า "ไม่ทำ จะใช้คนเดียว"
- ร้อยละ 15.54 ระบุว่า "ทำ จะรวมกันภายในชุมชน เช่น นำไปทำโครงการในชุมชน สร้างวิสาหกิจชุมชน"
- ร้อยละ 14.96 ระบุว่า "ทำ จะรวมกับเพื่อนหรือหุ้นส่วน เช่น นำไปสร้างธุรกิจ"
- ร้อยละ 7.31 ระบุว่า “ไม่รู้/ไม่แน่ใจ”

ดร.ธรรม์ธีร์ สุกโชติรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักโพลศรีปทุม-ดีโหวต ชี้ว่าจุดเริ่มต้นความสำเร็จของโครงการรัฐบาลคือการฟังเสียงและตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของประชาชนแต่ละกลุ่มให้ได้มากที่สุด ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นแนวทางที่อาจสามารถลดปริมาณการกู้ได้ เช่น การแบ่งเฟส โดยให้เฟสแรกเน้นกลุ่มผู้มีรายได้น้อยกว่า 40,000-50,000 บาท เพราะคนกลุ่มนี้มีแนวโน้มจะนำเงินไปใช้จ่ายในสิ่งที่ขาด และทำให้เกิดตัวคูณทางเศรษฐกิจก่อนได้ระดับหนึ่ง

และเฟสสองให้กลุ่มผู้มีรายได้มากกว่า โดยกลุ่มนี้อาจกำหนดหรือสนับสนุนให้ใช้ในการลงทุนหรือการรวมกลุ่มกัน เพื่อลดการใช้จ่ายกับสิ่งที่หาซื้อได้อยู่แล้วจนกลายเป็นเพียงการออมเงินที่มีอยู่แล้ว ซึ่งเทคโนโลยีบล็อกเชนสามารถใช้เพื่อสนับสนุนการจัดการข้อกำหนดต่าง ๆ  รวมถึงการวัดผลตัวคูณทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากโครงการนี้ สามารถทำได้ง่ายและโปร่งใส