จาก ‘ลิซ ทรัสส์’ ถึง ‘เศรษฐา’ เมื่อตลาดลงโทษนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่เกินกว่าเหตุ

จาก "ลิซ ทรัสส์" ถึง "เศรษฐา ทวีสิน" ชวนถอดบทเรียนการดำเนินนโยบายทางภาษี และการคลังของทรัสส์ ที่สวนทางกับสภาพเศรษฐกิจในสหราชอาณาจักร จนมีจุดจบที่ตลาดพันธบัตรปั่นป่วน นำมาซึ่งการลงจากตำแหน่งเพียง 45 วันหลังจากเริ่มปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งคล้ายกับประเทศไทยปัจจุบัน
Key Points
- ประเทศไทยใช้เวลากว่า 4 เดือนหลังจากวันเลือกตั้งจึงจะได้นายกรัฐมนตรี
- รัฐบาลไทยมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มความต้องการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน
- ลิซ ทรัสส์ พยายามดำเนินนโยบายทางภาษี และการคลังแบบผ่อนคลาย หวังให้เศรษฐกิจสหราชอาณาจักรกลับไปโตที่จุดเดิม ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง
เส้นทางในการได้มาซึ่ง “นายกรัฐมนตรี” ของประเทศไทยนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเราเลือกตั้งกันตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค.2566 แต่กว่าจะตั้งรัฐบาลของ “นายเศรษฐา ทวีสิน” ได้ เวลาก็ล่วงเลยไปกว่า 4 เดือนนับตั้งแต่วันเลือกตั้ง
นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าเราจะได้นายกฯ พร้อมทั้งคณะรัฐมนตรี (ที่ส่วนใหญ่เป็นบุคคลหน้าเดิม) แล้ว แต่อุปสรรคแรกที่รัฐบาลชุดนี้เผชิญคือ “ข้อครหา” เรื่องการใช้นโยบายประชานิยม กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการแจกเงินแบบมหาศาล อย่างกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท การประกาศลดค่าไฟเหลือ 3.99 บาท/หน่วย รวมไปถึงการสั่งลดราคาน้ำมันดีเซลลงมาต่ำกว่า 30 บาทต่อลิตร
ส่วนใหญ่ล้วนเป็นนโยบายกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยที่ใช้แล้วหมดไป ไม่ได้ก่อให้เกิดนวัตกรรมหรือการเติบโตใดๆ ในอนาคต เว้นเสียจากการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะสั้นเท่านั้น
นอกจากนี้ หากสุดท้ายมาตรการการอัดฉีดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจผ่านการกระตุ้นความต้องการซื้อของประชาชนครั้งนี้ได้ผล ก็อาจจะสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจไทยได้ชั่วคราว ทว่ารัฐบาลก็จำเป็นต้องตอบคำถามสาธารณชนให้ได้อย่างชัดเจนว่า “แหล่งเงินทุน” ในการดำเนินนโยบายเหล่านั้นมาจากที่ใด รวมทั้งสมเหตุสมผลกับรายได้ของรัฐบาลหรือไม่
เพราะหากสุดท้ายเกิดการมิสแมตช์กันระหว่างรายรับของรัฐบาล และรายจ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และไม่สามารถระบุที่มาของเงินทุนได้ รัฐบาลของนายกฯเศรษฐา อาจตกอยู่ในที่นั่งลำบาก คล้ายกับเมื่อครั้งรัฐบาลของลิซ ทรัสส์ (Liz Truss) อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษที่ต้องลงจากตำแหน่งหลังจากปฏิบัติหน้าที่ได้เพียง 45 วัน เพราะต้องการดำเนินนโยบายทางภาษี และการคลังแบบผ่อนคลาย และเข้าอุ้มราคาพลังงาน ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ตึงตัว
บทเรียนจากสหราชอาณาจักรและ ลิซ ทรัสส์
ย้อนกลับไปในช่วงการเข้ารับตำแหน่งช่วงแรกของทรัสส์ และควาซี ควาร์เต็ง (Kwasi Kwarteng) รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เธอประกาศใช้นโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายทันที ประกอบกับเข้าอุ้มราคาพลังงาน โดยหวังให้เศรษฐกิจสหรัฐอาณาจักรกลับไปโตที่ 2.5% ก่อนวิกฤตการณ์เงินปี 2008 ท่ามกลางเงินเฟ้อในประเทศช่วงนั้นปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับ 9-11% ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน จนธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อจาก 0% ไปอยู่ที่ 2.25% ในช่วงเวลานั้น
โดย ในวันที่ 8 ก.ย.2565 หลังจากเข้ารับตำแหน่งเพียง 2 วัน ทรัสส์ประกาศโครงการจำกัดค่าไฟในภาคครัวเรือน เพื่อลดความเดือดร้อนของประชาชนจากราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น
ต่อมาในวันที่ 23 ก.ย.2565 ควาร์เต็ง ประกาศใช้นโยบายทางการคลังที่ชื่อว่า “Mini Budget” หรืองบประมาณขนาดเล็กที่เตรียมใช้เงินกว่า 4.5 หมื่นล้านปอนด์ (ประมาณ 2 ล้านล้านบาท) แบ่งเป็นการอุดหนุนราคาพลังงาน 6 หมื่นกว่าล้านปอนด์ และในอีก 5 ปีข้างหน้าก็อาจต้องกู้มาเพิ่มอีก 3 แสนล้านปอนด์ ทั้งยังเต็มไปด้วยนโยบายลดภาษีทั้งเงินได้บุคคลธรรมดา นิติบุคคล รวมทั้งภาษีจากประกันสุขภาพ อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม หลังจากโครงการดังกล่าวเปิดเผยออกมา ประชาชนต่างตั้งคำถามว่า ในเมื่อไม่เก็บภาษีเพิ่ม แล้วรัฐบาลจะมี “รายได้” จากที่ไหนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะหากต้องกู้เงินมาเพื่อดำเนินนโยบาย ที่คล้าย “ประชานิยม” ดังกล่าว ก็จะยิ่งเป็นภาระทางการคลังของรัฐบาล
จากสถานการณ์ทั้งหมดจึงกดดันให้บรรดานักลงทุน และประชาชนจำนวนมากเทขายสินทรัพย์ทุกอย่างออกมาจนผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ปรับตัวสูงขึ้น และเงินปอนด์ก็อ่อนค่าลงเกือบเทียบเท่าเงินดอลลาร์
เหลียวหน้าแลหลัง "ประเทศไทย" ยุค "เศรษฐา"
กลับมาดูสถานการณ์ประเทศไทยในปัจจุบัน แม้ว่าจะยังไม่เลวร้ายเหมือนกับอังกฤษ แต่อย่างน้อยก็ถือเป็นสัญญาณเตือนให้ผู้ทำนโยบายต้องเพิ่มความระมัดระวัง
หากกล่าวอย่างเฉพาะเจาะจงมาที่ประเทศไทย หลังจากที่รัฐบาลเศรษฐา ประกาศลดค่าไฟฟ้าลงมาเหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย ลดราคาน้ำมันดีเซลลงต่ำกว่า 30 บาทต่อลิตร และยืนยันแจกเงินดิจิทัลคนละ 10,000 บาท ภายในไตรมาสแรกปีหน้า ก็ส่งผลให้ “เงินบาท” อ่อนค่าลงรุนแรงในทันที คล้ายกับช่วงที่ ทรัสส์ประกาศใช้นโยบาย Mini Budget
โดยล่าสุดรัฐบาลประกาศออกมาแล้วว่าอุปทานพันธบัตรใหม่อยู่ที่ 1.25 ล้านล้านบาท จากเดิม 1.1 ล้านล้านบาท และคาดว่าจะเป็นพันธบัตรออกใหม่ 7 - 7.5 แสนล้านบาท
ขณะที่บอนด์ยีลด์ของรัฐบาลไทย รุ่นอายุ 10 ปี ขยับตัวขึ้นจากระดับ 3% เมื่อวันที่ 18 ก.ย.2566 มาอยู่ที่ระดับ 3.22% ในวันที่ 20 ก.ย.2566 คิดเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 7% ภายในเวลาไม่กี่วันทำการ สะท้อนถึงแรงเทขายพันธบัตรที่ออกมาจำนวนมากเช่นเดียวกันกับช่วงที่บอนด์ยีลด์ของสหราชอาณาจักรปรับตัวขึ้นในช่วงที่ทรัสส์ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบยังไม่สามารถระบุที่มาของเงินทุนได้
จากสถานการณ์ทั้งหมด ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ให้สัมภาษณ์กับกรุงเทพธุรกิจว่า
ทิศทางตลาดการเงินในประเทศไทย ทั้งค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงรวมทั้งบอนยีลด์ชนิด 10 ปี ที่ดีดตัวขึ้นคล้ายกับช่วงที่รัฐบาลของลิซ ทรัสส์ ประกาศใช้โครงการ Mini Budget
โดยถึงแม้ว่าขนาดของความเสียหายประเทศไทย อาจจะไม่มากเท่าสหราชอาณาจักรในช่วงนั้น แต่รัฐบาลไทยก็ควรนำเหตุการณ์ครั้งนั้นของทรัสส์เป็นบทเรียนไม่ให้เกิดซ้ำรอย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแจกแจงที่มาของเงินทุนในการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ
“ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะยังไม่ได้มีปัญหาเท่าอังกฤษในช่วงของลิซ ทรัสส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของดุลบัญชีเดินสะพัด แต่ก็ไว้ใจไม่ได้ว่าการทำนโยบายที่สวนทางกับความเชื่อมั่นของตลาดก็อาจจะทำให้ตลาดเสียความเชื่อมั่นไปได้
"สุดท้ายเมื่อตลาดไม่มีความมั่นใจก็จะเทขายพันธบัตร เมื่อเทขายแล้ว อัตราดอกเบี้ยก็จะสูงขึ้น และภาระของรัฐในการต้องจ่ายดอกเบี้ยก็จะเพิ่ม ก็จะยิ่งทำให้ตลาดสงสัยว่าหนี้ที่มีอยู่จะจ่ายคืนยังไงหมด ทั้งหมดก็จะเป็นปัญหาซ้ำเติมไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งปัญหาที่เกิดในอังกฤษก็อาจจะเกิดกับประเทศไทยได้”
ท้ายที่สุด แม้ว่าเศรษฐกิจไทย และสหราชอาณาจักรจะมีปัจจัยที่แตกต่างกันจำนวนมาก รวมทั้งเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันก็ไม่ได้อยู่ในสภาวะที่เงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สูงเหมือนสหราชอาณาจักรเมื่อช่วงเดือนก.ย. และต.ค. ปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลของนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน อาจสามารถนำบทเรียนของรัฐบาลลิซ ทรัสส์ไปเป็นตัวอย่างได้ว่า รัฐบาลที่ใช้นโยบายทางการคลังแบบไม่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน และไม่สามารถระบุที่มาของรายได้ที่จะใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศได้อย่างชัดเจนจะมีจุดจบอย่างไร ?
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







